"กินผงชูรสแล้วผมร่วง" "อุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟเสี่ยงมะเร็ง" "อาหารเสริมไม่ดีต่อตับ" และอีกสารพัดความเชื่อมากมายเกี่ยวกับเรื่องกินที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ก็ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด ว่าตกลงอันไหนแม่น อันไหนมั่ว !?
"TalkTime" EP. นี้ ได้รวบรวม 10 คำถามยอดฮิตที่คาใจคนไทยมาถามผู้เชี่ยวชาญตัวจริงกับ นางสาวทิพรดี คงสุวรรณ นักโภชนาการปฏิบัติการ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย จะมาให้คำตอบฟันธง พร้อมคำแนะนำและข้อควรระวัง ว่ากินแบบไหนร่างกายถึงจะไม่พัง !!
อาหารเช้ามีความจำเป็นต่อร่างกายของคนทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญและเป็นมื้อแรกของวัน ช่วยให้มีพลังงานในการทำงานตลอดทั้งวัน
ข้อควรระวัง : มักมีความเชื่อผิด ๆ ว่าการงดอาหารเช้าจะช่วยลดน้ำหนัก แต่แท้ที่จริงแล้ว อาหารเช้าช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะจะทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกหิวในมื้อกลางวันและมื้อเย็น
คำแนะนำ : อาหารเช้าควรมีคุณภาพ อย่างน้อยควรประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือกลุ่มข้าว-แป้ง และกลุ่มเนื้อสัตว์-นม-ไข่ (แหล่งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน) และควรเสริมด้วยผักและผลไม้
ไมโครเวฟเป็นคลื่นไฟฟ้าที่มีพลังงานต่ำ คลื่นที่ปล่อยออกมาทำให้โมเลกุลน้ำทั้งในและนอกอาหารเสียดสีกันจนเกิดความร้อนทำให้อาหารสุกแล้ว แล้วคลื่นก็จะหายไปไม่ตกค้างในอาหาร
ข้อควรระวัง : ควรเลือกภาชนะที่ใช้ในการอุ่นอาหารที่เหมาะสม อาทิ ชามเซรามิก, ชามแก้วที่ทนร้อน, หรือพลาสติกเกรดสำหรับไมโครเวฟ ไม่ควรใช้ถุงพลาสติก หรือภาชนะที่ไม่ทนร้อน
อาหารแช่แข็งมักมีวัตถุปรุงแต่ง-วัตถุกันเสีย เพื่อให้เก็บรักษาได้นาน และเพื่อจะให้มีรสชาติอร่อย อาจมีโซเดียม, ไขมัน, และน้ำตาลสูง จะทำให้ร่างกายได้รับสารเหล่านี้เกินปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน
คำแนะนำ : อาหารแช่แข็งเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด แต่ไม่แนะนำให้บริโภคทุกวันหรือเป็นประจำ
ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดที่บ่งบอกว่าการกินผงชูรสเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วง แต่เสี่ยงเป็นโรคไตนั้นเป็นความจริง เนื่องจากผงชูรสมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ
ข้อควรระวัง : ร่างกายควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ผงชูรสเพียง 1 ช้อนชา ก็มีโซเดียมประมาณ 500 มิลลิกรัมแล้ว และยังไม่รวมเครื่องปรุงรสอื่น ๆ อาทิ เกลือ, น้ำปลา, ซอส, ซีอิ๊ว ฯลฯ ซึ่งล้วนมีโซเดียมเช่นกัน ดังนั้นหากได้รับโซเดียมในปริมาณสูง ก็จะเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตได้ในอนาคต
ตามหลักโภชนาการไม่ได้มีกำหนดว่าห้ามกินไข่เกินวันละกี่ฟอง แต่แนะนำให้บริโภคอย่างน้อยวันละ 1 ฟองในทุกเพศทุกวัย เพื่อให้ได้รับแหล่งโปรตีนและสารอาหารที่มีประโยชน์
ข้อควรระวัง : เป็นเรื่องจริงที่ไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง แต่ไข่มีประโยชน์มาก เช่น มีเลซิตินช่วยเรื่องสมอง และมีลูทีน/ซีแซนทีนช่วยเรื่องสายตา ดังนั้นหากต้องการลดคอเลสเตอรอล ควรไปลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวประเภทอื่น เช่น อาหารทอดหรือเบเกอรี่ แล้วยังคงเลือกบริโภคไข่จะดีกว่า
น้ำตาลทรายแดงอาจมีแร่ธาตุบางอย่างมากกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น โพแทสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม แต่ปริมาณไม่สูงมาก
ข้อควรระวัง : ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็ตาม หากกินมากไปย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายอยู่แล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวาน
คำแนะนำ : ควรบริโภคน้ำตาลแต่พอเหมาะ ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน หรือเทียบเท่ากับ 24 กรัม ในส่วนของสารทดแทนความหวานก็ไม่แนะนำให้บริโภคเป็นประจำ เพราะจะทำให้ร่างกายติดรสหวานอยู่ดี
โดยเฉลี่ยควรดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน เทียบเท่าประมาณ 2,000 มิลลิลิตร เพราะน้ำช่วยในการกำจัดของเสีย, นำออกซิเจนและอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของเซลล์, และช่วยให้อวัยวะทำงานได้อย่างเป็นปกติ
ข้อควรระวัง : ไม่ควรดื่มน้ำมากหรือน้อยเกินไป เพราะจะรบกวนการทำงานของเซลล์เช่นกัน
ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดที่ระบุว่าการดื่มน้ำเย็นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นสำหรับคนที่มีร่างกายปกติสามารถดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องก็ได้
ข้อควรระวัง : คนที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้องหรือท้องอืดได้
นมเป็นแหล่งของโปรตีนที่มีคุณภาพ และเป็นแหล่งของแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ดี อย่างเด็กในวัยเจริญเติบโตแคลเซียมจะช่วยในการขยายตัวของกระดูกและเพิ่มมวลกระดูก ส่วนวัยสูงอายุจะช่วยเรื่องชะลอภาวะกระดูกพรุน
คำแนะนำ : ควรดื่มนมวันละ 2 แก้วทุกเพศทุกวัย และควรเลือกเป็นนมจืด
อาหารเสริมแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย ถ้าหากเราทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่างหลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม
คำแนะนำ : บางช่วงวัยอาหารเสริมก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่น วัยเด็ก, วัยสูงอายุ
ข้อควรระวัง : การทานอาหารเสริมมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อตับในอนาคตได้
*https://youtu.be/Fu1UQJ5iDDY