เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นวิทยากรร่วมในการเสวนา Super Session 1 "Ancillary Services and Technologies; Opportunities for Thailand's Power Grid" ในงาน IEEE PES GTD ASIA 2025 ณ พื้นที่ Energy Exchange ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)
และได้รับมอบหมายจาก รศ.ดร.แนบบุญ หุนเจริญ ซึ่งรับหน้าที่เป็นพิธีกรของงานเสวนาให้หัวข้อนี้ให้วิเคราะห์ Ancillary Services ในมุมมองทางกฎหมาย ผู้เขียนจึงตั้งโจทย์ว่า "กฎหมายทำหน้าที่เป็นตัวเร่ง (Catalysts) หรือเป็นอุปสรรค (Barrier) ของกิจการนี้" โดยตั้งฐานว่าการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบโครงข่ายไฟฟ้านั้นไม่ใช่บริการเสริมอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าถูกใช้เพื่อรองรับการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
Ancillary Services ถูกนิยามตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการ เรื่อง หลักเกณฑ์การสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าสำหรับผู้รับใบอนุญาตควบคุมระบบไฟฟ้า พ.ศ. 2564 ว่าเป็น "บริการเสริมที่สนับสนุนให้ระบบไฟฟ้ามีคุณภาพ มีความมั่นคง และมีประสิทธิภาพ" โดยที่ "ระบบไฟฟ้า" นั้นหมายถึง ระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การปฏิบัติการและควบคุมของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน
เหตุที่ทำให้ระบบไฟฟ้านั้นไม่มีคุณภาพ ไม่มีความมั่นคง หรือไม่มีประสิทธิภาพนั้น อาจเกิดจากระบบการผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ เกิดความไม่มั่นคงของระบบไฟฟ้า เนื่องจากอาจมีไฟฟ้าไม่มากพอที่จะตอบสนองความต้องการใช้ในช่วงเวลาของความผิดปกตินั้น เมื่อกำลังไฟฟ้าจริงที่ผลิตไม่เท่ากับกำลังไฟฟ้าจริงที่ใช้จะทำให้เกิดการผันแปรของความถี่ (Frequency Variation) ดังนั้นแล้ว หากระบบไฟฟ้ามีไฟฟ้าที่ผลิตหรือจ่ายจากระบบผลิตอื่นที่สามารถพึ่งพาได้ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุผิดปกติ หรือในเวลาที่ระบบมีไฟฟ้าไม่เพียงพอแล้วนั้นจะสามารถทำให้เกิดความมั่นคงขึ้นได้
การดำเนินการเพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอาจเกิดได้โดยที่ผู้ประกอบกิจการระบบโครงข่ายไฟฟ้าลงมือสร้างความสมดุลระหว่างไฟฟ้าที่จะถูกจ่ายและความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยนำไฟฟ้าที่เหลือในระบบโครงข่ายมาตอบสนองความต้องการในช่วงเวลาที่เกิดความผิดปกติ หรืออาจมีการดึงเอาไฟฟ้าจากระบบเก็บพลังงานสะสมมาใช้รักษาระดับความถี่ โดยระบบกักเก็บพลังงานจะจ่ายพลังงานเป็นเวลาสั้น ๆ เป็นรายชั่วโมง ในฐานะระบบไฟฟ้าสำรอง
ดร.วรวุฒิ วรุตตมพรสุ ซึ่งดำรงตำแหน่ง Country Managing Director ของบริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ยังบอกเราว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์พฤติกรรมโหลดและการผลิตไฟฟ้า จะช่วยให้ผู้ให้บริการระบบสามารถบริหารสมดุลอุปสงค์-อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการดำเนินการ และเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าโดยรวม
ไฟฟ้าสำรองมาจากไหนได้บ้าง ?
หากเริ่มคิดจากโครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ Enhanced-Single Buyer (ESB) ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจาก "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน" และนำไฟฟ้าไปจำหน่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าแล้ว ย่อมหมายความว่า การไฟฟ้าจะเป็นผู้ซื้อเนื้อไฟฟ้ามาเพื่อรักษาสมดุลและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เช่น ในกรณีที่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหลาย ๆ รายที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่อาจผลิตไฟฟ้าได้พร้อม ๆ กัน ส่งผลให้ไฟฟ้าในระบบโครงข่ายมีไม่พอตอบสนองความต้องการในช่วงเวลาหนึ่ง การไฟฟ้าอาจสั่งให้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมจ่ายไฟฟ้าเดินเครื่องและช่วยจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ
ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ ESB นั้น เป็นไปได้ที่ กฟผ. จะมีบทบาทสำคัญในการสั่งให้โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแบบ "Black Start" แล้วนำไฟฟ้าเหล่านี้ส่งให้ กฟน.และ กฟภ.เพื่อจำหน่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต่อไป ซึ่งยังมีความจำเป็นต่อการสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า รัฐยังสามารถ "เก็บ" การสั่งเดินเครื่องไฟฟ้านี้ในฐานะที่เป็นตลาดที่รัฐควบคุม (Regulated Market) ได้ ภายใต้โครงสร้างนี้ ต้นทุนและการคิดอัตราค่าบริการเสริมความมั่นคงในกรณีนี้จึงอาจประกอบด้วยต้นทุนที่ กฟผ. ใช้เพื่อทำให้ได้มาซึ่งไฟฟ้าเหล่านี้ รวมถึงต้นทุนที่ กฟน. และ กฟภ.นำไฟฟ้าเหล่านี้ไปจำหน่ายต่อ
อย่างไรก็ตาม หากระบบไฟฟ้ายังคงอาศัยการผลิตในโครงสร้างกิจการแบบดั้งเดิมดังกล่าวแล้ว ต้นทุนของ Ancillary Services ย่อมรวมไปถึงค่าความพร้อมจ่าย และที่สำคัญไฟฟ้าที่ได้นั้นอาจเป็นไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการผลิตไฟฟ้าโดยผู้ผลิตที่ไม่ใช่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่กระจายตัว เรียกได้ว่าเป็นตลาดที่ "แยก" ออกจากตลาดที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เป็นการรับซื้อระยะยาว เป็นตลาดที่ซื้อขายไฟฟ้ากันตามเวลาจริงในราคาที่ผู้ผลิตจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายเมื่อผลิตไฟฟ้าได้
คำตอบคือ "เป็นไปได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีนั้นหยุดไม่อยู่และมีราคาถูกลง เช่น ครัวเรือนอาจผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์บนหลังคาเมื่อแดดออกและสะสมเอาไว้ในระบบกักเก็บเพื่อจ่ายไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้ในครัวเรือนเข้าระบบโครงข่ายเมื่อระบบจำเป็นต้องมีไฟฟ้าเพิ่มเติมได้
นอกจากนี้ การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายนั้นยังเกิดขึ้นโดยยานยนต์ไฟฟ้าได้ในรูปของ V2G (Vehicle-to-Grid) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อนุญาตให้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) สามารถส่งพลังงานไฟฟ้าคืนกลับเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้า (Grid) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีการควบคุมผ่านระบบการสื่อสารและจัดการพลังงาน เพื่อสนับสนุนความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเจ้าของรถและระบบโดยรวม (โปรดดู รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการพัฒนากฎระเบียบการกำกับกิจการพลังงานเพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลิกโฉม (Disruptive Technology) จัดทำโดย ศูนย์เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "รายงาน DT")
ความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีข้างต้นอาจสร้างความท้าทายจากโครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ ESB นั้น การไฟฟ้าจะต้องรอรอบการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศโดยมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามหลักกเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนด โดยมักเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว แต่การผลิตไฟฟ้าแบบกระจายตัวเหล่านี้ไม่ใช่โรงไฟฟ้าและจะขายไฟฟ้าอย่างยืดหยุ่น โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ ESB จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายตัวได้ ดังนั้น กพช. ควรมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะ "ปล่อย" ให้มีการผลิตและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายเพื่อรองรับการจ่ายไฟฟ้าแบบกระจายตัวนี้อย่างไร และ กกพ. ก็ควรจะมีอิสระในการกำกับดูแลอัตราค่าตอบแทนของการผลิตและจ่ายไฟฟ้าลักษณะนี้
ผู้เขียนได้เสนอความเห็นว่า โดยแท้จริงแล้วการให้บริการเสริมความมั่นคงนั้นไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะการจัดหาไฟฟ้ามาจำหน่ายในช่วงเวลาที่ระบบไฟฟ้าประสบเหตุผิดปกติ แต่มองในมุมกลับได้ว่าแทนที่จะมุ่งเพียงซื้อไฟฟ้า ระบบโครงข่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาผิดปกตินั้นมั่นคงขึ้นได้จากความพร้อมที่จะลดการใช้ไฟฟ้าเช่นกัน
ผู้ใช้ไฟฟ้า (ซึ่งย่อมไม่ใช่โรงไฟฟ้า) สามารถดำเนินการใด ๆ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้าเสนอปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่สามารถลดได้ในตลาดซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ กำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Operating Reserve) ถ้าข้อเสนอได้รับการคัดเลือก ผู้ใช้ไฟฟ้าจะได้รับการจ่ายเงินที่อัตราค่าไฟฟ้าในตลาดซื้อขายไฟฟ้าสำหรับความพร้อมที่จะลด หากเกิดเหตุการณ์ที่การลดใช้ไฟฟ้ามีความจำเป็น และตลาดซื้อขายไฟฟ้าร้องขอ ผู้ใช้ก็อาจจะได้รับเงินสนับสนุนที่ราคาตลาดหากประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย (โปรดดู รายงาน DT)
ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้จะ "ขายศักยภาพ" นี้ให้ใคร? เป็นไปได้ที่จะมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่รวบรวมความสามารถในการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าจากผู้ใช้ไฟฟ้าซึ่งเรียกว่า "ผู้รวบรวมโหลดไฟฟ้า (Load Aggregator) โดยสามารถรับซื้อความสามารถนี้ตามช่วงเวลาและปริมาณกำลังไฟฟ้าที่มีการสั่งเรียกจากผู้ควบคุมระบบไฟฟ้า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการลดการใช้ไฟฟ้าหรือสภาะฉุกเฉินของระบบไฟฟ้าได้อย่างทันเวลาและมีปริมาณเพียงพอ
คำถามถัดมาคือ "ใครจะเป็นผู้รวบรวมโหลดไฟฟ้าได้บ้าง ?" ตามบทความ "ทิศทางการพัฒนาธุรกิจผู้รวบรวมโหลด (Load Aggregator) ของไทย"(เผยแพร่โดยสมาร์ทกริดไทยแลนด์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567) ให้คำตอบว่า กฟน. และ กฟภ. นั้นสามารถทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมโหลดภาคเอกชนในเชิงพาณิชย์ได้
แต่ผู้เขียนขอตั้งคำถามต่อไปว่าหากเราจะไม่รอ กฟน. และ กฟภ. ที่จะลงมือประกอบการนี้ เอกชนจะลงมือประกอบกิจการเป็นผู้รวบรวมโหลดได้หรือไม่ ? คำตอบคือ "มีความเป็นไปได้" เช่น คนในชุมชนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เช่น เทศบาลนคร) จัดตั้งบริษัทขึ้นเพื่อประกอบกิจการระบบโครงข่ายไฟฟ้าแรงดันต่ำ (Low Voltage) หรือแรงดันระดับกลาง (Medium Voltage) ซึ่งรวมถึงระบบผลิตไฟฟ้า โหลดไฟฟ้า ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบควบคุมอัตโนมัติเข้าไว้ด้วยกัน สามารถทำงานสอดประสานกันเปรียบเสมือนเป็นระบบเดียวกันเพื่อการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้งานเองภายในระบบไมโครกริดที่สามารถแลกเปลี่ยนไฟฟ้าส่วนเกินหรือส่วนขาดกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลักได้
ถึงแม้จะเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลัก (Main Grid) แต่ไมโครกริดนั้นก็สามารถทำงานแยกออกจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. (Islanding) ระบบโครงข่ายนี้จะช่วยให้คนในชุมชนสามารถผลิตและจ่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในชุมชนระหว่างกันได้ และรวบรวมศักยภาพในการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าจากผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อนำไป "ขาย" ให้การไฟฟ้าเพื่อช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงขึ้นจากการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าลง
ความท้าทายทางกฎหมายจึงเกิดขึ้นว่าบริษัทของชุมชนที่จะลงทุนสร้างไมโครกริดและทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมโหลด โดยด้านหนึ่งก็ใช้ระบบไมโครกริดเพื่อรองรับการผลิต แลกเปลี่ยน และใช้ไฟฟ้าในชุมชนเอง และในอีกด้านหนึ่งก็ทำหน้าที่รวมศักยภาพในการลดการใช้ไฟฟ้าเพื่อขายศักยภาพนี้ต่อให้การไฟฟ้าที่ประกอบกิจการโครงข่ายไฟฟ้าหลักเพื่อสนับสนุนความมั่นคงของระบบไฟฟ้านี้จะต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าจาก กกพ. ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 หรือไม่ หรือจะต้องตั้งคำถามเพิ่มว่าจำเป็นต้องขอรับใบอนุญาตหรือไม่?
กกพ. อาจมองไมโครกริดเป็น "ระบบจำหน่ายไฟฟ้า" ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่นำไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้า (ในชุมชน) ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า (ในชุมชน) และมีศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าที่ใช้ระบบจำหน่ายนี้ด้วย กรณีนี้ กกพ. ย่อมสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการไมโครกริดให้แก่บริษัทนี้ได้โดยอาจออกประกาศกำหนดประเภทใบอนุญาตระบบจำหน่ายที่เป็นไมโครกริดนี้ตามมาตรา 47 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
แต่ในส่วนของกิจการรวบรวมศักยภาพในการลดการใช้ไฟฟ้าในชุมชน (กล่าวคือกิจการรวบรวมโหลดไฟฟ้า) นั้น อาจเป็นกิจการอีกส่วนหนึ่งที่มิใช่กิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงและยังเป็นกิจการที่ กกพ. ไม่อาจออกใบอนุญาตให้บริษัทได้ตามกฎหมายในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ากฎหมายควรถูกแก้ไขเพื่อรองรับการประกอบกิจการนี้
โดยสรุปแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าบริการเสริมสนับสนุนให้ระบบไฟฟ้าซึ่งมีต้นทางทั้งจากการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสำหรับตอบสนองความผิดปกติของระบบหรือการลดความต้องการใช้ไฟฟ้านั้นเป็นกิจการที่ "จำเป็น" กับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าจะเผชิญกับความผันผวนไม่แน่นอนมากขึ้นจากสัดส่วนไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มากขึ้น
ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ ESB ยังมีความจำเป็นที่รัฐ (ผ่านการไฟฟ้าทั้งสาม) จะมีบทบาทสำคัญในการรับซื้อไฟฟ้ามาเพื่อสร้างความมั่นคงของระบบ เช่น จากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยเฉพาะ แต่ขณะเดียวกัน รัฐ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กพช. และ กกพ.) ก็สามารถเปิดโอกาสให้มีตลาดการให้บริการเสริมความมั่นคงผ่านการประกอบกิจการไมโครกริด (ซึ่งอย่างน้อยก็ลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในโครงข่ายหลักลงได้)
และการพัฒนาตัวบทกฎหมายมิให้เหนี่ยวรั้งหรือเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนเพื่อการสร้างความมั่นคงโดยภาคเอกชนซึ่งสามารถรวบรวมความสามารถในการลดการใช้ไฟฟ้าลงในฐานะผู้รวบรวมโหลด เพื่อตอบสนองความมั่นคงของระบบโครงข่ายไฟฟ้า และเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าโดยรวม
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย