ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงข่าวความเคลื่อนไหวและการปฎิบัติการทางทหาร ประจำวันที่ 13 ธ.ค. 68
*สรุปสถานการณ์ความเคลื่อนไหว
ทางกัมพูชายังเปิดฉากโจมตีฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน ปัจจุบันยังคงมีการปะทะตลอดแนวชายแดนทั้ง 7 จังหวัด
โดยเมื่อเวลา 9:00 น. ทางกัมพูชาระดมยิง BM-21 และปืนใหญ่เข้ามายังพื้นที่ชุมชนในจังหวัดศรีสะเกษ ทำให้บ้านเรือนเสีย หาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 6 ราย ชัดเจนว่าเป้าหมายของกัมพูชานั้นไม่ใช่เป้าหมายทางทหารแต่เป็นเป้าหมายของพลเรือนผู้บริสุทธิ์

*การปฎิบัติการทางทหาร
- กองทัพบก ปัจจุบันบริเวณช่องอานม้า (เนิน 677) ทางกองทัพไทยยึดครองได้ 100% แต่ยังเหลืออีก 1 พื้นที่ คือ พื้นที่ปากช่องอานม้า ที่ยังมีการปะทะ แต่สรุปได้ว่าพื้นที่ส่วนรวมของบริเวณช่องอานม้านั้น กองทัพไทยสามารถปฏิบัติการได้ประมาณ 75% แต่ฝ่ายกัมพูชาเองยังมีความพยายามในการตอบโต้
ในส่วนการตรวจพบสมุดบันทึกการปฏิบัติงานของทหารกัมพูชาที่มีการระบุถึงพื้นที่และพิกัดในการวางทุ่นระเบิดและกับระเบิด แสวงเครื่องนั้น ตอนนี้ได้รวบรวมหลักฐานและส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและให้กระทรวงต่างประเทศเพื่อนำไปขยายผลเพื่อประกาศว่ากัมพูชายังคงใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอยู่
ด้านพื้นที่บริเวณช่องคนา ล่าสุดสามารถเข้าควบคุมได้เบ็ดเสร็จ 100% แล้วเช่นเดียวกัน หลังจากเมื่อช่วงเช้าควบคุมได้แต่ระหว่างนั้นทหารกัมพูชายังมีการต่อต้านพยายามยิงปืนใหญ่ BM-21 อยู่ตลอดเวลา
- กองทัพเรือ
ได้ริเริ่ม ยุทธการ "ประจวบคีรีขันธ์ ประจันตคีรีเขตร" เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามทางทะเลที่ปรากฏชัดบริเวณเกาะกงและเกาะยอ ยุทธการดังกล่าวมีการจัดตั้ง หมวดเรือเฉพาะกิจพิทักษ์อ่าวไทย มีภารกิจหลักในการค้นหาและทำลายที่ตั้งทางทหารและกำลังทางเรือของกัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายฝั่ง
นอกจากนี้ ยังมีภารกิจจำกัดเสรีภาพในการนำเข้ายุทธปัจจัยสำคัญเข้าสู่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การโจมตีของกัมพูชาในพื้นที่เกาะกงมีการใช้ปืนใหญ่ 130 มม. ซึ่งมีรัศมีการยิงครอบคลุมถึงชุมชนบ้านหาดเล็กของไทย กองทัพเรือยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดมุ่งเป้าหมายเฉพาะทางทหารของฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น
กองทัพไทย ยืนยันว่า ไม่ได้รับรายงานการเคลื่อนย้ายอาวุธ PHL03 มายังเขาพระวิหาร แต่หากมีการตรวจพบกองทัพไทยพร้อมดำเนินการโจมตีเป้าหมายทันที
*ยอดบาดเจ็บ-เสียชีวิต
- ทหารเสียชีวิตเพิ่ม 4 นายจากเหตุปะทะที่ช่องอานม้า ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ผ่านมาเป็น 14 นาย และเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ รวมเป็น 15 นาย มีกำลังพลบาดเจ็บราว 270 กว่านาย แต่ผู้ที่ได้รับการรักษาและออกจากสถานพยาบาลหลายรายมีความประสงค์อยากกลับไปสู้รบในแนวหน้า
- ตำรวจปฏิบัติหน้าที่แนวหน้าได้รับบาดเจ็บ 24 นาย
- พลเรือนเสียชีวิตรวม 7 ราย ซึ่งเป็นผลกระทบทางอ้อมจากสถานการณ์ โดยเป็นการเสียชีวิตระหว่างการอพยพ 4 ราย และเสียชีวิตในศูนย์พักพิง 3 ราย ส่วนประชาชนที่ศรีสะเกษบาดเจ็บ 6 รายนั้น มีอาการสาหัส 2 ราย