BTC Map แพลตฟอร์มช่วยพาร้านค้าเข้าไปร่วม "แผนที่ร้านรับบิทคอยน์" ในหัวเมืองท่องเที่ยวไทย ชี้คนทั่วไปเริ่มใช้จ่ายผ่านกระเป๋า Lightning ได้ไม่ยาก แถมค่าธรรมเนียมต่ำกว่าการแลกเงินสดหรือรูดบัตรเครดิต ขณะที่ร้านค้าจะได้ฐานลูกค้ากลุ่มใหม่จากชุมชนบิทคอยน์เนอร์ทั่วโลก แม้ว่าการใช้งานในประเทศยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
"Crypto Insight" วันนี้พาไปทำความรู้จักกับแพลตฟอร์ม BTC Map ซึ่งทำหน้าที่เป็น "แผนที่ร้านค้าที่รับชำระด้วยบิทคอยน์" ที่ผู้ใช้งานสามารถค้นหาร้านค้าใกล้ตัวที่ยินดีรับบิทคอยน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ กับนายณภัทร ขาวสุวรรณ Main Contributor, BTC Map และผู้ก่อตั้ง WelB องค์กรที่ทำหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้บิทคอยน์ในชีวิตประจำวัน ทั้งกับภาคธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไป โดยทำหน้าที่คล้ายสะพานเชื่อมระหว่าง "โลกบิทคอยน์" และ "ภาคธุรกิจจริง" ช่วยให้เจ้าของร้านค้าเข้าใจวิธีการรับชำระด้วยบิทคอยน์ ควบคู่กับ BTC Map เว็บไซต์และเว็บแอปฯ ที่เปิดให้ร้านค้าลงข้อมูลของตนเองบนแพลตฟอร์มให้บิทคอยน์เนอร์ทั่วโลกค้นหาจากแผนที่และเดินทางไปใช้จ่ายจริงได้
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันร้านค้าบน BTC Map ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใน กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้บิทคอยน์ต่างชาติที่ต้องการเลี่ยงค่าธรรมเนียมการแลกเงินหรือรูดบัตรเครดิตที่อาจสูงถึงเกือบ 20% ในบางกรณี ยกตัวอย่างว่าบางคนเมื่อเดินทางมาเมืองไทย หากต้องแลกเงินสดหรือใช้บัตรเครดิต อาจเสียค่าธรรมเนียมจำนวนมาก จึงเลือกมองหาร้านค้าที่รับบิทคอยน์แทน เพราะค่าธรรมเนียมบนเครือข่าย Lightning ต่ำมาก บางครั้งไม่ถึง 1 บาทต่อธุรกรรม
ในด้านการใช้งานจริง ผู้ใช้งานจำเป็นต้องมีกระเป๋า Bitcoin Lightning Wallet ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จาก App Store หรือ Play Store เมื่อเดินทางไปร้านค้าที่รับบิทคอยน์ ก็ใช้การสแกน QR Code สำหรับชำระ ระบบจะคำนวณและแปลงยอดเงินตามหน่วยย่อยของบิทคอยน์โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถจ่ายค่ากาแฟหรืออาหารในมูลค่าไม่สูงมากได้อย่างสะดวก แม้ราคาบิทคอยน์เต็มเหรียญจะอยู่ในระดับหลายล้านบาทก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญคือ "ความเข้าใจ" และ "ทัศนคติ" ของผู้คนต่อบิทคอยน์ ยอมรับว่าในปัจจุบันยังมีคนไทยจำนวนมากที่มองว่าบิทคอยน์เป็น "เงินผิดกฎหมาย" หรือเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการฟอกเงิน ทั้งที่ในความเป็นจริง บิทคอยน์สามารถเป็นทั้งสินทรัพย์สำหรับเก็บออม และเครื่องมือชำระเงินที่ช่วยปกป้องมูลค่าทรัพย์สินและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้
ในประเด็นด้านกฎเกณฑ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้ประกาศว่าการรับบิทคอยน์เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ "สนับสนุน" ให้ใช้งานด้วยความกังวลความเสี่ยงทางการเงิน ดังนั้น ผู้ที่สนใจจึงควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจและทดลองใช้งานด้วยจำนวนเงินไม่มากก่อน เพื่อให้รับความเสี่ยงได้และเห็นภาพการทำงานจริงของระบบ
จากข้อมูลที่สืบค้นของ "อินโฟเควสท์" พบว่า ธปท.ได้ระบุว่าคริปโทเคอร์เรนซี่ไม่ใช่เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Not Legal Tender) โดยบิทคอยน์ในไทยมีสถานะเป็น "สินทรัพย์ดิจิทัล" ตาม พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฯ ไม่ใช่ "เงินตรา" ดังนั้นร้านค้ามีสิทธิปฏิเสธการรับชำระได้ และกฎหมายไม่รับรองผลในการชำระหนี้เหมือนเงินตราทั่วไป รวมทั้งผู้ที่ตกลงแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลกันเอง (P2P) แม้ยังไม่มีกฎหมายเอาผิดโดยตรง แต่จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานรัฐ
ส่วนเกณฑ์สั่งห้ามจาก ก.ล.ต. ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นมา สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกเกณฑ์ห้ามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Exchange ต่างๆ ให้บริการหรือสนับสนุนการนำคริปโทฯ มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment) ขณะที่ร้านค้า หากรับชำระเองอาจไม่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่จะทำได้ยากเพราะระบบสนับสนุน (Payment Gateway) ที่ถูกกฎหมายไม่สามารถให้บริการนี้ได้
ในมุมมองของร้านค้า การเริ่มทดลองรับชำระด้วยบิทคอยน์ถือเป็นการเปิดรับ "ฐานลูกค้าใหม่" โดยเฉพาะหากตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยว เพราะชุมชนบิทคอยน์ทั่วโลกมักตั้งใจสนับสนุนร้านที่รับบิทคอยน์และพร้อมเดินทางไปใช้บริการจริง แม้ผู้ใช้บิทคอยน์จำนวนมากอาจไม่ได้ใช้จ่ายด้วยเหรียญในทุกมื้อทุกวัน แต่เมื่อเห็นร้านที่เปิดรับ พวกเขามักอยากช่วยสนับสนุนเพื่อพิสูจน์ว่า "บิทคอยน์สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน"
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะต้องเริ่มจากการดาวน์โหลดกระเป๋า Lightning มาทดลองใช้เองก่อน ลองส่ง-รับเงินระหว่างคนรู้จักเพื่อให้เข้าใจขั้นตอนการใช้งาน จากนั้นจึงเข้าไปที่เว็บไซต์ BTC Map เพื่อกดเพิ่มร้านค้าของตนเอง หรือทักติดต่อผ่านเพจ WelB และช่องทาง "ร้านค้ารับบิทคอยน์" เพื่อให้ทีมงานช่วยเก็บข้อมูลและลงทะเบียนบนแพลตฟอร์มให้
ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ยังไม่เคยใช้บิทคอยน์ในชีวิตประจำวัน สิ่งสำคัญคือการ "เปิดใจลอง" และเริ่มจากจำนวนเงินน้อย ๆ รวมถึงเข้ามาพูดคุยกับชุมชนบิทคอยน์ในไทยเพื่อขอทดลองรับบิทคอยน์จากเพื่อนหรือสมาชิกในคอมมูนิตี้ จากนั้นจึงค่อยนำไปใช้จ่ายจริงในร้านค้าที่อยู่บน BTC Map เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าบิทคอยน์สามารถนำมาใช้ในโลกจริงได้หรือไม่ แทนการถือเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว
นายณภัทร กล่าวว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวไปสู่การเป็น "Bitcoin-Friendly Destination" สิ่งที่ต้องเริ่มต้นก่อนคือการปรับทัศนคติของผู้คนให้เข้าใจว่าบิทคอยน์ไม่ใช่เพียง "เงินดำ" หรือเครื่องมืออาชญากรรม แต่เป็นเทคโนโลยีทางการเงินรูปแบบใหม่ที่สามารถใช้เก็บออม ปกป้องความมั่งคั่ง และสามารถนำไปใช้จ่ายได้ เมื่อความเข้าใจถูกต้องการยอมรับและการใช้งานจริงก็จะตามมาเอง
https://youtu.be/KKLslt-RTuk