น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เรื่อง"ปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ" ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัด คือ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, แม่ฮ่องสอน, น่าน, แพร่, พะเยา และตาก โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกจังหวัดเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่พร้อมทำความเข้าใจกับประชาชนถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น
พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ปัญหาหมอกควันในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ และมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันได้ขอบคุณผู้ว่าราชการทุกจังหวัดที่ได้บูรณาการแก้ไขปัญหา ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่เริ่มคลี่คลายและดีขึ้นหลายจังหวัดแล้ว คงเหลือเพียงแม่ฮ่องสอนที่ยังมีค่าของฝุ่นละอองอยู่ในระดับสูงเกินมาตรฐาน
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าไปดูแลแล้ว โดยวันนี้ต้องถือเป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระราชดำริในเรื่องการทำฝนหลวง ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาและคลี่คลายปัญหาหมอกควันได้เป็นอย่างดี
ด้านนางนฤมล ปาลวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน รายงานว่า วันนี้ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีฝนตกเกือบทุกพื้นที่ ยกเว้น อ.สบเมย จึงทำให้ขณะนี้อากาศในแม่ฮ่องสอนดีขึ้น โดยจากการวัดระดับค่าฝุ่นละออง เมื่อวันที่ 13 มี.ค.55 อยู่ที่ 156 ไมโครกรัม แม้จะยังเกินมาตรฐานที่ระดับ 120 ไมโครกรัม แต่ก็ถือว่าลดลงมากตามลำดับแล้ว
สำหรับปัญหาหมอกควันของจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น ส่วนหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน และอีกส่วนหนึ่งมาจากอากาศที่ค่อนข้างเย็นในช่วงเช้า ทำให้เกิดหมอกหนา ซึ่งการแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้มีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจขึ้นมาดูแล และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมว่า สถานการณ์หมอกควันใน 9 จังหวัดภาคเหนือคาดว่าจะเริ่มคลี่คลายได้ราวปลายเดือนเม.ย. โดยยอมรับว่าสาเหตุของการเกิดหมอกควันส่วนหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในวันนี้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศได้รายงานมายังนายกรัฐมนตรี ซึ่งพบว่ามีหนังสือของประเทศพม่าในสำนักงาน อ.ท่าขี้เหล็ก และประเทศลาว ได้ออกประกาศห้ามการเผาป่าแล้ว
"ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า ปัญหาหมอกควันในประเทศไทยสามารถจัดการได้แล้ว หลังจากที่ได้ส่งรัฐมนตรีติดตามงานอย่างใกล้ชิด" โฆษกรัฐบาล ระบุ
ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้เอาผิดกับคนที่เผาป่าอย่างจริงจัง โดยมีโทษปรับ 150,000 บาท และจำคุก 15 ปี พร้อมทั้งให้จัดชุดแมวมอง เช่น ตำรวจ, จนท.ป่าไม้ และมวลชน สำรวจพื้นที่ในพื้นที่เสี่ยง และให้อาสาสมัครท้องถิ่นเฝ้าระวังเป็นชุดสารวัตรเฝ้าเผาป่า รวมถึงต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้านในการเปลี่ยนวิถีชีวิตด้วย