(เพิ่มเติม) นายกฯ เดินหน้าแก้สินค้าแพง สั่งพณ.ดูราคาต้นทาง-ปลายทางต้องสอดคล้องกัน

ข่าวทั่วไป Saturday March 17, 2012 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน" เช้านี้ ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าที่จะมีผลต่อค่าครองชีพของประชาชนรวมถึงการดูแลราคาพลังงานว่า ปัญหาราคาสินค้าแพงส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในปลายปีที่ผ่านมา ที่ทำให้กำลังการผลิตสินค้าบางประเภทยังไม่กลับมาสู่ระดับปกติ จึงทำให้ความต้องการสินค้ามีมากกว่ากำลังการผลิต แต่ทั้งนี้คาดว่าประมาณเดือนมิ.ย.นี้ แต่ละโรงงานที่ถูกน้ำท่วมจะสามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตสินค้าได้เต็มที่

นอกจากนี้ สาเหตุของราคาสินค้าแพงยังมาจากการคาดการณ์ล่วงหน้าของผู้บริโภคว่าสินค้าจะขาดตลาด จึงทำให้เกิดการเก็งราคาขึ้น แต่จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์พบว่า ระดับราคาสินค้าในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วไม่ได้แพงขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีก่อนอาจจะสูงขึ้นจริง เพราะเป็นผลกระทบจากเหตุอุทกภัย และระดับราคาสินค้าได้เริ่มปรับตัวลดลงมาตามลำดับแล้วหลังจากที่กำลังการผลิตสินค้าของแต่ละโรงงานทยอยเข้าสู่ระดับปกติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะดูแลราคาสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปดูแลตั้งแต่การผลิตจนถึงมือผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย พร้อมกันนี้จะพยายามผลักดันให้แต่ละ 1 ชุมชนมี 1 ร้านธงฟ้า เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนได้มีสินค้าในราคาประหยัดได้เลือกซื้อ

ส่วนต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นในช่วงนี้นั้น นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า การปรับราคาน้ำมันและก๊าซอาจจะส่งผลให้ต้นทุนอาหารสำเร็จรูป รวมไปถึงการประกอบอาหารในครัวเรือนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยืนยันว่าในนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลจะมีการรักษาสมดุลย์และทำให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่ในระยะสั้นนี้รัฐบาลจะรับภาระเฉพาะในช่วงที่เป็นปัญหาไปก่อน เพราะยังถือว่าอยู่ในช่วงรอยต่อจากวิกฤติน้ำท่วม โดยเชื่อว่าสถานการณ์ในครึ่งปีหลังจะกลับสู่ภาวะปกติ

"นโยบายพลังงาน เราจะดูในเรื่องของสมดุล จะพยายามดึงการแก้ปัญหาให้นานเท่าที่เราจะรับภาระไหว เพราะสุดท้ายเราต้องกลับให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่ช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อจากการปรับตัวหลังวิกฤติ เชื่อว่าครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะดีกว่านี้" นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกร้ฐมนตรี กล่าวว่า โดยภาพรวมแล้วในการแก้ปัญหาจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การแก้ในภาพรวม และแก้เฉพาะจุด ซึ่งการแก้ปัญหาในภาพรวมนั้น คาดว่าเมื่อเม็ดเงินงบประมาณปี 55 ที่เพิ่งผ่านสภาฯ นี้จะเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบได้ในไตรมาส 2 และลงไปอย่างเต็มที่ในราวไตรมาส 3 ก็เชื่อว่าจะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งสร้างความมั่นใจในการลงทุนให้แก่ภาคเอกชน รวมไปถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน ร่วมกันหาแนวทางในการพัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงาน การเพิ่มผลผลิต การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สะดวกยิ่งขึ้น

ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะจุดนั้น รัฐบาลจะพิจารณาการแก้ปัญหาสินค้าเป็นรายตัวในช่วงระยะสั้นนี้ไปก่อน เพื่อลดผลกระทบช่วงรอยต่อหลังเผชิญวิกฤติน้ำท่วม แต่ยืนยันว่าสุดท้ายแล้วในระยะยาวจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามภาวะตลาดที่คงไม่สามารถไปบิดเบือนกลไกราคาได้

สำหรับการปรับถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขึ้นค่าแรงงานดังกล่าวจะช่วยผู้มีรายได้น้อยให้มีความสามารถซื้อสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น สอดรับกับราคาสินค้าที่ขณะนี้ยังปรับตัวสูงอยู่ อย่างไรก็ดี กระทรวงแรงงานจะต้องประสานกับผู้ประกอบการให้ในอนาคตมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน และทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้สัมพันธ์กับค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น

ส่วนปัญหาราคาพลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่องจะต้องดูแลให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด และแม้ว่าจะยังมีมาตรการรถเมลล์และรถไฟฟรี แต่จะต้องส่งเสริมให้ประชาชนปรับวิถีชีวิต โดยเฉพาะภาครัฐต้องส่งเสริมการลดใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นย้ำเรื่องการประหยัดพลังงานอย่างเต็มที่ รวมทั้งมองเรื่องพลังงานทดแทนควบคู่กันไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ