นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า ในสายตาของนักธุรกิจถือว่าสอบตก เพราะไม่สามารถลดการทุจริตคอร์รัปชั่นลงได้ โดยเห็นได้จากอันดับความโปร่งใสของไทย การจัดอันดับขององค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศในปี 54 ที่ไทยตกมาอยู่อันดับที่ 80 จากอันดับที่ 78 เมื่อปีก่อนหน้า
อีกทั้งผลสำรวจสถานการณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทยเมื่อเดือนมิ.ย.55 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นตกลงมาอยู่ที่ 3.5 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน และภาคธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าหัวคิวมากกว่า 25% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งถือว่าสูงมาก
"แม้ว่ารัฐบาลจะมีความพยายามในการแก้ปัญหา โดยประกาศนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็น 1 ใน 16 มาตรการเร่งด่วน แต่รัฐบาลยังขาดความจริงจัง และความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา หากยังปล่อยให้คอร์รัปชั่นรุนแรงขึ้นจะทำให้ประเทศชาติล่มจมได้" นายประมนต์กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลควรเป็นผู้นำและจริงจังในการแก้ปัญหา ซึ่งจะทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลดีขึ้นในปีหน้า และเป็นที่น่ายินดีที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการเปิดเผยราคากลางของโครงการรัฐบาลแล้ว ซึ่งขณะนี้เครือข่ายฯ ได้รับข้อมูลและเบาะแสของการทุจริต 2 โครงการจำนวนมาก คือ โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนของภาครัฐที่ใช้งบประมาณ 340,000 ล้านบาท และโครงการจำนำพืชผลทางการเกษตร
อย่างไรก็ตาม ภาคีฯ ได้กำหนดให้วันที่ 6 ก.ย.ของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อเป็นการรวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่นและรำลึกถึงนายดุสิต นนทะนาคร อดีตประธานกรรมการหอการค้าไทย ผู้ริเริ่มและก่อตั้งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น