นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.
สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเดินทางกลับจากการร่วมหารือยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่ชายแดนและการเชื่อมโยงเส้นทาง
คมนาคมไทย-
กัมพูชา ร่วมกับรัฐบาล
กัมพูชา ว่า ที่ประชุมมีข้อตกลงความร่วมมือ 2 เรื่อง คือ 1. การดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน และ 2. เรื่องการพัฒนาระบบการดูแลส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงทั้งการบาดเจ็บและเจ็บป่วยทั่วไป ในโรงพยาบาล (รพ.) ที่อยู่ในจังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกัน 7 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด โดยจะจัดให้มีโรงพยาบาลคู่แฝด (sister hospital) รักษาด้วยมาตรฐานเดียวกัน เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ว่าจะได้รับการดูแลต่อเนื่องเป็นมาตรฐานเดียว อาทิ โรงพยาบาลสระแก้ว จับคู่กับโรงพยาบาลบันเตียเมียนเจย โรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี จับคู่กับโรงพยาบาลพระตะบอง และโรงพยาบาลตราด จับคู่กับโรงพยาบาลเกาะกง โดยจะมีการประชุมเพื่อจัดทำคู่มือแนวทางความร่วมมือกันในเร็วๆ นี้ และภายในปีนี้ ไทยมีแผนพัฒนาทีมแพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่ของ
กัมพูชา ด้านมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โดยเฉพาะทีมแพทย์กู้ชีพฉุกเฉิน ระบบการดูแลที่ห้องอีอาร์ การควบคุมโรค ตามแนวชายแดนโดยเฉพาะโรคมาลาเรียชนิดดื้อยาอาร์ติมิชินิน และอบรมเพิ่มศักยภาพ อสม. หมู่บ้านคู่ขนานชายแดนไทย —
กัมพูชา ด้วย
สำหรับการแก้ปัญหาชาวกัมพูชาข้ามมารับบริการรักษาฝั่งไทยจนไทยต้องแบกรับภาระคนเหล่านี้ตามหลักสิทธิมนุษยชน เฉพาะโรงพยาบาลในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา 7 จังหวัด ต้องแบกค่ารักษาฟรีแก่ผู้ป่วยชาวกัมพูชาปีละประมาณ 50 ล้านบาท จนหลายโรงพยาบาลตกอยู่ในภาวะล้มละลายรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือ และการให้บริการนี้ก็เบียดบังบริการคนไทยที่ควรได้รับเต็มที่นั้น กระทรวงสาธารณสุขไทย ยังได้เสนอให้กัมพูชาใช้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อให้การดูแลประชาชนเข้าถึงบริการอย่างเป็นธรรมและทั่วถึงระยายาว ไม่ต้องแอบข้ามมาฝั่งไทยอีก ซึ่งไทยเสนอตัวให้การสนับสนุนทางวิชาการอย่างเต็มที่ ก็ได้รับการตอบรับจากกัมพูชาเป็นอย่างดี แต่คงต้องใช้เวลา เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชายังมีภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ สูง
อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี โทร.02-2535000 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--