(เพิ่มเติม) 7 สถาบันเอกชน แถลงการณ์ร่วมเรียกร้องทุกฝ่ายเจรจาแก้ปัญหา-ไม่ใช้ความรุนแรง

ข่าวทั่วไป Monday December 2, 2013 16:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 ฝ่าย (กกร.) และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย กล่าวว่า สถาบันเอกชน 7แห่ง ได้ร่วมหารือกันได้แก่ สภาหอหารค้าไทย สภาอุตสาหกรรมไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียน ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งและการกระทำที่นำไปสู่อุบัติการณ์ที่ร้ายแรง ซึ่งบัดนี้ได้ทำความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงเศรษฐกิจของประเทศและอาจลุกลามโดยไม่มีข้อยุติ

ดังนั้น จึงมีข้อเรียกร้องร่วมกันว่า ปัญหาข้อขัดแย้งควรแก้ไขด้วยการเจรจา ไม่ใช้ความรุนแรงหรือการกระทำที่ไม่เคารพกฎหมายและกติกาประชาธิปไตย

ทั้งนี้ ภาคเอกชนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนแก่ทุกฝ่ายที่ได้ริเริ่มให้มีการเจรจาแล้ว และยินดีเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทุกทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ โดยยึดถือหลักการกฎหมาย ความถูกต้องชอบธรรม ตามหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี โดยจะร่วมกับสถาบันต่างๆ อาทิ สถาบันภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันสื่อมวลชน รวมทั้งผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม

การแสดงความเห็นทางการเมืองเป็นสิทธิชอบธรรมภายใต้กรอบแห่งกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนไม่เห็นด้วยกับกระบวนการที่ทำให้เกิดความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาของชาติ และเห็นว่าการเดินกลยุทธ์ทางการเมืองโดยตั้งเงื่อนไขจะนำไปสู่การสูญเสีย

นายอิสระ กล่าวว่า ภาคเอกชนเห็นว่าหนทางหนึ่งที่นำไปสู่สันติ คือการทำตามกติกาโดยหาทางออกในวิถีประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้สถานการณ์การเมืองเป็นไปในลักษณะเดิมภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา จึงขอเสนอให้มีการเจรจาระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้มีข้อยุติเบื้องต้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง โดยมีผู้แทนองค์กรที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ร่วมในการเจรจาประเด็นต่างๆ

ภาคเอกชนขอให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงผลภัยและความแตกแยกที่จะมีต่อประเทศชาติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว และภาวะจิตใจ ตลอดจนภาพพจน์ ความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสังคมโลก ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่อย่างยืดเยื้อ ก็จะทำให้ประเทศไทยถูกจัดเป็น Failed State และ/หรือ อนาธิปไตย

"ภาคเอกชนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมได้โปรดหาทางออหให้กับประเทศของเราอย่างสันติวิธีโดยเร็ว ...หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเหตุการณ์เสียเลือดเสียเนื้อเช่นนี้อีกอันจะนำความเสียใจอย่างยิ่งมาสู่ประชาชนคนไทย" นายอิสระกล่าว

นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธาน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มี 33 ประเทศออกคำเตือนระดับ 2 คือให้ระมัดระวังการเดินทางเข้าประเทศไทย และจากเหตุการณ์ทางการเมืองวานนี้ที่มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ชุมนุม มีหลายประเทศกำลังปรับยกระดับ ซึ่งหากมีการออกคำเตือนเป็นระดับ 5 คือห้ามเดินทางเข้ามาก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวประมาณ 8-10% ในเดือน ธ.ค.รายได้จะหายไป 2.5 หมื่นล้านบาท นักท่องเที่ยวจะหายไปประมาณ 5 แสนคน จาก ในเดือน พ.ย.ที่มีนักท่องเที่ยวดีขึ้น 11% เทียบจากพ.ย.55

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้รับรู้ถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนต่างชาติว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงเดินทางไปสู่ความรุนแรงและก็จะมีผลกระทบไปในไตรมาสแรกปี 57 ที่จะมีคำสั่งซื้อชะลอ ขณะนี้เหตุการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงทุกวัน และหากยืดเยื้อก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน โดยที่ผ่านมามีคำขอบีโอไอ 7-9 แสนล้านบาทต่อปี และในปีหน้าไทยก็ไม่อาจได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ทางการเมืองมีผลต่อความ เชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงุทนต่างประเทศมียอดขายสุทธิ1.7 หมื่นล้านบาท และขายออกประมาณ 5 ล้านบาทในช่วง 1เดือนที่ผ่านมา และขายออก 1.5 แสนล้านบาทตั้งแต่ต้นปี 56

"ความเชื่อมั่นหายไปกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน จะมีการลงทุนจะทำได้ยาก หากมีสัญญาณไม่จบโดยเร็ว การขายของนักลงทุนก็ยังมีความต่อเนื่อง...ต่างชาติเขาทั้งกลัวและกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น รูปแบบการแก้ไขปัญหา และเมื่อไร ดูไม่ออก มีความเสี่ยงรุมเร้ามาก ร่างชาติก็ขายออกมาก่อน"นายไพบูลย์กล่าว

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาตร์ได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยเมื่อต้นปี 56 ว่าจะเติบโต 5% แต่ตอนนี้ปรับลดเหลือโต 3% ปี 57คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโด 4-5% ถ้าสถานการณ์การเมืองไม่จบก็จะกระทบกับเศรษฐกิจที่อาจโตไม่ถึง3% ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ปีนี้ได้ปรับลดมาที่ โต 10% จากเดิมคาดโต 15% ราคาหุ้นจึงปรับตัวลง ส่วนปีหน้าคาดว่ากำไรบจ.โต 12% แต่ก็ต้องดูว่าเหตุการณ์ยืดเยื้อหรือไม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ