ปลัด สธ.กล่าวว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านออกติดตามเยี่ยมบ้านมารดาหลังคลอด ซึ่งต่อวันจะมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 2,000 คน เพื่อให้ความรู้ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ซึ่งน้ำนมแม่นอกจากจะมีสารอาหารและภูมิต้านทานโรค ช่วยให้ลูกแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายแล้ว การอุ้มกอดลูกขณะให้นมจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นแก่เด็กโดยตรง และแม่ได้สังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิดวันละ 6-8 ครั้ง ช่วยให้ลูกปลอดภัยจากอากาศหนาว โดยเฉพาะในพื้นที่อากาศหนาวเย็นได้ขอให้เจ้าหน้าที่และอสม. ให้ความสำคัญกับการแนะนำเรื่องการดูแลความอบอุ่นของเด็กเป็นพิเศษ
ด้าน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การสังเกตสัญญาณเตือนว่าเด็กมีอุณหภูมิร่างกายต่ำจากความหนาวเย็น คือเด็กจะร้องและดิ้น ซึ่งเป็นกลไกการปรับตัวเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น โดยเมื่อสัมผัสที่ผิวเด็กจะพบว่าตัวเย็น มือเท้าเย็น สีผิวมีลักษณะเป็นจ้ำ แดง ลายทั่วตัว นิ้วมือนิ้วเท้าซีด เขียว ขอให้รีบเพิ่มความอบอุ่นเด็กโดยเร็ว โดยใส่ถุงมือ ถุงเท้า ใส่เสื้อผ้าหลายชั้น เด็กจะค่อยๆ ดีขึ้น และใช้วัดปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิร่างกายเด็ก อุณหภูมิจะต้องไม่ต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส แต่หากยังไม่ดีขึ้นและเด็กมีอาการซึมลงให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที
นพ.พรเทพ กล่าวว่า ในการป้องกันลูกจากภัยหนาว ขอให้ดูแลความอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และเสื้อกันหนาว สวมหมวกไหมพรม ถุงเท้า และห่มผ้าหนาๆ เวลานอน อย่าให้เด็กนอนใกล้ประตูหน้าต่างที่มีลมโกรก ควรอาบน้ำช่วงสาย วันละ 1 ครั้ง และใช้น้ำอุ่นอาบ ให้ทาโลชั่นป้องกันผิวแห้งแตก และให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ จะช่วยลดอาการปากแห้งแตกได้ เพราะนมแม่มีน้ำเพียงพออยู่แล้ว และไม่ควรพาลูกอ่อนออกไปเที่ยวนอกบ้าน ไม่ว่าจะอุ้มหรือใส่ในรถเข็นเด็ก เนื่องจากยังมีการปรับตัวในเรื่องอุณหภูมิของร่างกายยังไม่ดี อาจเจ็บป่วย และติดเชื้อได้ง่าย
ทั้งนี้ อุณหภูมิเด็กปกติจะอยู่ที่ประมาณ 37องศาเซลเซียส ไม่ควรจะมากกว่าหรือต่ำกว่า 0.5องศาในเด็กเล็กเพื่อความปลอดภัยควรใช้ปรอทวัดไข้ทางรักแร้นาน 3-5นาที แล้วอ่านค่า ไม่ควรเอาใส่ในปากเด็ก เนื่องจากเด็กจะกัด ทำให้ปรอทแตกได้ ส่วนปรอทที่ใช้วัดทางหน้าผาก อาจอ่านค่าผิดพลาดได้