นายกฯ ติดตามงานบริหารจัดการน้ำภาคต.อ. ยันทำเป็นระบบไม่ได้เอื้อเฉพาะภาคอุตฯ

ข่าวทั่วไป Wednesday June 10, 2015 18:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวภายหลังการลงพื้นที่จ.ฉะเชิงเทรา และระยองว่า ปัญหาการบริหารจัดการน้ำเป็นปัญหาที่สำคัญที่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาให้ได้ในระดับที่พอใจ โดยต้องการให้วางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ นำแนวทางการบริหารจัดการน้ำระดับสากลมาปรับใช้เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำและการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ขณะเดียวกันต้องมีการพัฒนาแหล่งน้ำให้มีความสะอาด โดยเฉพาะแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก และเปลี่ยนผู้ปลูกเป็นผู้ค้าแทนเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องราคาสินค้าเกษตร

สำหรับการจัดสรรทรัพยากรน้ำ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องจัดสรรน้ำรองรับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม

ขณะที่การกักเก็บน้ำ ต้องมีการเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำแห่งใหม่ ลักษณะแบบทะเลสาบน้ำจืด เช่น บึงบอระเพ็ด กว๊านพะเยา โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำไปสำรวจพื้นที่ราชพัสดุ หรือที่ดินของกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงที่ดินของประชาชนที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากมาทำเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งใหม่เพื่อกักเก็บน้ำและพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย

สำหรับเสียงเรียกร้องจากเกษตรกรให้นำกำลังทหารมาช่วยในเรื่องการขุดคลอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ทำอยู่ แต่มีกว่า 200 โครงการ แต่ทหารมีเพียงกรมการทหารช่างเพียงกรมเดียวและมีเครื่องมือไม่เท่ากับบริษัทเอกชน ฉะนั้นโครงการไหนที่เร่งด่วน ทหารจะทำ เพราะไว้ใจได้ แต่บางอย่างที่ต้องกระจายเพื่อให้เกิดงานก็ต้องให้บริษัทเอกชนดำเนินการ

พร้อมยืนยันว่า การบริหารจัดการน้ำไม่ได้เน้นเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เพราะทุกคนมีปริมาณการใช้น้ำอยู่แล้ว แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ดูอุตสาหกรรมนั้นไม่ได้ ประเทศนี้ต้องอยู่ด้วยหลายอย่าง เกษตรกรรมอย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้ วันหน้าจะปลูกไปขายใคร จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงการปลูกพืชว่าต้องกำหนดอุปสงค์ อุปทาน ที่เหลือต้องไปทำอาชีพอะไร ประเทศก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันกับสภาวะแวดล้อม ไม่ใช่อะไรก็เรียกร้องทุกอย่างเหมือนเดิมคงจะไม่ได้

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้มีการยกระดับอ่างเก็บน้ำประแสร์ขึ้นมาเพื่อให้มีการกักเก็บน้ำมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาในช่วงหน้าน้ำ เมื่อน้ำล้นขอบทำให้น้ำไหลกลับลงสู่แม่น้ำประแสร์เช่นเดิม ทำให้ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ เมื่อยกระดับขอบอ่างเก็บน้ำให้สูงขึ้น ทำให้ส่งน้ำได้เพิ่มมากขึ้น ส่วนข้อเรียกร้องให้มีการใช้อ่างเก็บน้ำแห่งนี้จัดการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อเกษตรกรด้วยนั้น จะส่งไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้องด้านการผลิตไฟฟ้า เพื่อพิจารณาว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่

ด้านนายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์ เป็นการติดตั้งฝายพับได้ (Flap Gate Weir) โดยใช้บานเหล็กขนาด 1.00*17.18 ม. จำนวน 4 บาน บริเวณสันฝายของ Spillway ซึ่งจะสามารถกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอีก 47 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นปริมาณน้ำกักเก็บรวม 295 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าการดำเนินงานแล้วเสร็จกว่า 80%

โครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มน้ำต้นทุนให้กับพื้นที่การเกษตรและการอุตสาหกรรม รวมถึงป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มได้อีกด้วย ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าว จะช่วยลดปัญหาอุทกภัยที่บริเวณท้ายน้ำ และชุมชนกว่า 5 แสนครัวเรือน ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภค ทำให้เกิดการบริหารจัดการน้ำจากอ่างประแสร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสร้างเสถียรภาพให้กับแหล่งน้ำภาคตะวันออก ทั้งในพื้นที่ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี โดยในอนาคตพื้นที่เกษตรกรรมจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 80,000 ไร่

ขณะที่นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาคตะวันออกของกรมชลประทาน มีทั้งหมด 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1. ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต(เกษตรและอุตสาหกรรม) มีเป้าหมายในการจัดหาแหล่งน้ำให้ได้ 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ภายในปี 2569 โดยในพื้นที่เกษตรน้ำฝนจะบูรณาการร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมพัฒนาที่ดิน ในการสนับสนุนแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน 2. ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย มีเป้าหมายเพื่อจัดทำระบบระบายน้ำ คลองผันน้ำในพื้นที่วิกฤตภาคตะวันออก ได้แก่ เมืองจันทบุรี ปราจีนบุรี และชลบุรี รวมทั้งรองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ 3. ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2558 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานได้รับงบประมาณ จำนวน 2,217 ล้านบาท สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำในภาคตะวันออกทั้งหมด 591 โครงการ ซึ่งมีโครงการประเภทต่าง ๆ อาทิ การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ฟื้นฟูอ่างเก็บน้ำ ขุดลอกลำน้ำ สร้างฝายทดน้ำ ก่อสร้างระบบส่งน้ำชลประทาน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ 265 โครงการ สำหรับแผนการแก้ไขปัญหาที่เป็นโครงการระยะกลางและระยะยาวที่สำคัญ มีแผนพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำคลองวังโตนด เช่น อ่างเก็บน้ำวังโตนด อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว อ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ เป็นต้น ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้จะสามารถรองรับความต้องการใช้น้ำในภาคตะวันออกได้ถึง 20 ปี

ส่วนนายอภิชาต จงสกุล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ได้ดำเนินงานในโครงการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ 1.งานแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยการขุดลอกหนอง งานฝายน้ำล้นและขุดลอกคลอง และงานอ่างเก็บน้ำ 2.งานพัฒนาแหล่งน้ำชุมชน เป็นที่ผนวกรวมการจัดหาแหล่งน้ำต้นทุน งานระบบกระจายน้ำจากแหล่งน้ำต้นทุนนั้น ๆ ตลอดจนปรับปรุงบำรุงดิน เพื่อการต่อยอดงานแหล่งน้ำให้มีผลสัมฤทธิ์ในการใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรมในพื้นที่โครงการ ให้กับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และ 3.งานแหล่งน้ำไร่นานอกเขตชลประทาน เป็นการบรรเทาปัญหาภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ ในพื้นที่ทำการเกษตรของเกษตรกร เพ่อให้มีแหล่งน้ำที่เหมาะสมในการทำการเกษตร กักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ และสนับสนุนการทำเกษตรแบบผสมผสาน ตามแนวทฤษฎีใหม่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเกษตรกร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ