รมว.เกษตรฯ เร่ง 8 มาตรการลดผลกระทบภัยแล้ง หลังปริมาณน้ำ 4 เขื่อนหลักเหลือน้อย

ข่าวทั่วไป Wednesday October 21, 2015 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือพร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งระดับชาติ (ศก.ชก.) ว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้ง ปี 2558/59 เพื่อเร่งรัด ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน 8 มาตรการ ลดผลกระทบภัยแล้ง ภายใต้วงเงินงบประมาณ รวม 11,000 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง ให้สามารถลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน ลดภาระการชำระหนี้ และสร้างรายได้จากการจ้างงาน สร้างอาชีพอื่นที่เหมาะสมกับภูมิสังคม สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและมีมูลค่าสูง

อย่างไรก็ตาม นอกจากมาตรการที่ภาครัฐเร่งรัดดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้แก่พื้นที่ที่จะประสบปัญหาภัยแล้งแล้ว ก็ขอฝากเน้นย้ำให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกข้าว หรือพืชที่ใช้น้ำมาก มาเป็นการเพาะปลูกพืชใช้น้ำน้อยอื่น ๆ ที่สร้างมูลค่าสูง หรือการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ และการประมงตามแหล่งน้ำที่ได้เตรียมไว้ จะช่วยลดความเสี่ยง ความเสียหายของพืชผล จากภาวะขาดแคลนน้ำในปี 2559 ได้ และอาจจะเป็นอาชีพใหม่ ๆ ที่มีรายได้มากขึ้น

สำหรับความก้าวหน้าของ 8 มาตรการ ลดภัยแล้งในช่วง 6 - 21 ต.ค.58 (15 วัน) แบ่งเป็น

1. มาตรการส่งเสริมความรู้และการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน

1.1 โครงการตามแผนชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้านการเกษตร เกษตรกรเป้าหมาย 412,430 ราย โดยช่วงวันที่ 9-22 ต.ค. 58 เกษตรกรพิจารณาเลือกเมนู 4 ด้านได้แก่ พืชใช้น้ำน้อย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว สัตว์ปีก กบ ปลาดุก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด , เริ่มดำเนินการฝึกอบรมและสนับสนุนปัจจัยการผลิต ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 58 ขณะนี้อยู่ระหว่างขอความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ

1.2 ลดค่าครองชีพโดยจำหน่ายสินค้าราคาเหมาะสม เป้าหมาย 400 ครั้ง เริ่มดำเนินการ 1 พ.ย. 58

2. มาตรการชะลอหรือขยายระยะเวลาชำระหนี้ที่เกษตรกรมีภาระหนี้กับสถาบันการเงิน ประกอบด้วย การลดหรือยกเว้นการเก็บค่าเช่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินอยู่ระหว่างดำเนินการ และ การให้สินเชื่อและการขยายระยะเวลาชำระหนี้ โดย ธ.ก.ส. เสนอบอร์ดเพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 58 ส่วนธ.ออมสิน เริ่มดำเนินการ 1 พ.ย. 58 นอกจากนี้ยังมีการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่กลุ่มเกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์ อยู่ระหว่างเสนอขอความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ

3. มาตรการจ้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร เช่น จ้างงานชลประทาน เป้าหมาย 106,939 ราย แบ่งเป็น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 28,195 รายพื้นที่นอกลุ่มเจ้าพระยา 78,744 ราย มีการจ้างงานแล้ว 10,505 ราย (ลุ่มเจ้าพระยา 260 ราย พื้นที่นอกลุ่มเจ้าพระยา 9,502 ราย) คิดเป็นเงิน 121.36 ล้านบาท, จ้างงานเร่งด่วน กระทรวงแรงงานได้จัดสรรงบประมาณให้จังหวัดแล้ว 65 ล้านบาท (เป้าหมาย 95 ล้านบาท พื้นที่นอกลุ่มเจ้าพระยา) คงเหลือ 30 ล้านบาท

4. มาตรการเสนอโครงการตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาผลกระทบภัยแล้ง โดยจัดทำแผนชุมชน 77 จังหวัด 882 อำเภอ 6,816 ตำบล แล้วเสร็จตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 58สรุปความต้องการได้ 38,166 โครงการ งบประมาณ 38,071.06 ล้านบาท ทั้งนี้ ทีมประเทศไทย จะสำรวจความต้องการและแผนพัฒนาอาชีพเกษตรกรตามความต้องการของชุมชนเพื่อบรรเทาภัยแล้งทั้งประเทศ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เพื่อให้คณะกรรมการอำนวยการฯ เสนอครม.เพื่อพิจารณา

5. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ โดยสร้างการรับรู้โดยศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯระดับจังหวัด ใน 22 จังหวัด ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ช่วงวันที่ 9-22 ต,ค. 58 เป้าหมาย 201,646 ราย ผลสะสม (9-20ต.ค.) 104,924ราย (52%) ผลวันนี้ 17,895 ราย

6. มาตรการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ด้วยการปฏิบัติการฝนหลวง วันที่ 19 ต.ค. 58 ขึ้นปฏิบัติการ 4 หน่วย ได้แก่ หน่วยฯจังหวัดเชียงใหม่ ตาก กาญจนบุรีและอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีฝนตกในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ตาก (2.7) ลำพูน ลำปาง กาญจนบุรี และเพชรบุรี, การพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เป้าหมาย 5,997 แห่ง แบ่งเป็น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 2,896 แห่ง นอกลุ่มน้ำเจ้าพระยา 3,101 แห่ง อยู่ระหว่างกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จัดทำรายละเอียดเพื่อขอทำการตกลงกับสำนักงบประมาณ

7. มาตรการเสริมสร้างสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นบริการภาครัฐ ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

8. มาตรการสนับสนุนอื่นๆ อาทิ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ.2556 ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้ง แผนสินเชื่อสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน ธ.ก.ส. เสนอบอร์ดเพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 58

รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาวปริมาณฝนจะลดลง ซึ่งปริมาณน้ำใช้การได้ของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 อ่างฯ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยฯ และป่าสักฯ ณ วันที่ 20 ต.ค. 58 มีปริมาตรน้ำใช้การได้รวม 4,047 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 22% ปริมาณน้ำไหลลงอ่างรวม 43.82 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำระบายรวม 4.48 ล้าน ลบ.ม. (จากการคาดการณ์ว่าจะมีน้ำใช้การได้ไม่น้อยกว่า 3,677 ล้าน ลบ.ม. ณ วันที่ 1 พ.ย. 58 ปัจจุบันมีมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 370 ล้าน ลบ.ม.)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำ ณ วันเดียวกันของปีที่แล้ว (20 ต.ค.57 ที่ 6,777 ล้าน ลบ.ม.) พบว่า มีปริมาณน้ำใช้การได้น้อยกว่า ดังนั้นจะต้องบริหารจัดการเพื่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ ไปจนถึงเดือนเม.ย. 58 (อีก 6 เดือนข้างหน้า) ซึ่งทุกส่วนจะต้องใช้น้ำร่วมกันอย่างประหยัด โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา

สำหรับพื้นที่ปลูกข้าวในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่จะมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำที่จะส่งผลถึงภาคส่วนอื่นๆ เช่น การอุปโภคบริโภค การรักษานิเวศน์ มีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งในและนอกเขตชลประทานรวม 11.91 ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว (อยู่ในระยะช่วงอายุข้าว 90 - 120 วันซึ่งใช้น้ำน้อย) รวม 4.94 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 6.26 ล้านไร่ (มีโอกาสปลูกต่อเนื่อง) ปลูกต่อเนื่อง 1.39 ล้านไร่ (จะเก็บเกี่ยวเดือน ธ.ค.58 - ม.ค. 59) มีความต้องการใช้น้ำจำนวน 382ล้าน ลบ.ม. จึงความเสี่ยงจะเสียหายสูงเนื่องจากน้ำจะไม่เพียงพอ

อนึ่ง สถานการณ์เพาะปลูกข้าว (ณ 16 ต.ค.58 ปรับปรุงรายสัปดาห์) พบว่า มีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศทั้งในและนอกเขตชลประทานรวม 61.67 ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว (อยู่ในระยะช่วงอายุข้าว 90 - 120 วันซึ่งใช้น้ำน้อย) รวม 53.39 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 7.98ล้านไร่ (มีโอกาสปลูกต่อเนื่อง) ปลูกต่อเนื่อง 1.40 ล้านไร่ (จะเก็บเกี่ยวเดือน ธ.ค. 58 - ม.ค. 59) มีความเสี่ยงสูง ซึ่งพื้นที่ทั่วไปนอกลุ่มน้ำเจ้าพระยาเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกข้าวนาปี พอเข้าสู่ฤดูแล้งจะปรับตัวไปประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรซึ่งเป็นวิถีปกติ


แท็ก เขื่อน  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ