นายกฯเผย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทรัชกาลที่9 น้อมนำ"ศาสตร์พระราชา"ขยายผลเป็นประโยชน์ทั่วประเทศ

ข่าวทั่วไป Saturday December 3, 2016 10:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการศาสตร์พระราชา กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมา โครงการในพระราชานุเคราะห์และโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร มีมากมายหลายโครงการซึ่งนอกจากจะทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว ยังเป็นการน้อมนำ“ศาสตร์พระราชา" แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไปขยายผลที่ล้วนเป็นคุณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ต่อพสกนิกรทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ อาทิเช่น “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่"ซึ่งได้รับพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อไว้ในเครื่องหมายตราสัญลักษณ์โครงการเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีการเกษตรหรือนวัตกรรมที่เหมาะสมช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างแรงจูงใจในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการเกษตรด้วยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างองค์กรวิจัยและพัฒนาภาคการเกษตรกับกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายในการให้คำปรึกษาด้วยความรู้และบริการทางวิชาการใหม่ๆการตรวจวิเคราะห์และวินิจฉัย รวมทั้งการให้บริการด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการที่มุ่งเน้นการเข้าถึงเกษตรกรโดยตรงนับว่าสามารถตอบสนองทั้งความต้องการและทันต่อเหตุการณ์ด้วย

นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันได้เคยพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ ในพื้นที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 1,350 ไร่ ให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการในลักษณะ “คลินิกเกษตร" เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีการเกษตรจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยแบ่งพื้นที่ ร้อยละ 70 เป็นพื้นที่ป่าไม้ สำหรับพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยววนเกษตรในลักษณะเส้นทางเดินป่าสำหรับการศึกษาธรรมชาติ และพื้นที่ส่วนอื่นๆที่เหลือ เป็นที่ตั้งศูนย์เรียนรู้ พื้นที่ทรงงาน และแปลงสาธิตเพื่อการพัฒนาการเกษตรแบบครบวงจร ประกอบด้วยการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ, การฟื้นฟูปรับปรุงดิน, การพัฒนาแหล่งน้ำและการส่งเสริมอาชีพ เป็นต้น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นอกจากพระราชกรณียกิจด้านการเกษตรที่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวประมงซึ่งเป็นอาชีพหลักของชนชาวไทยแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ทรงให้ความสำคัญกับด้านการศึกษา นับแต่ในอดีต ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันโดยทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการ “โครงการทุนการศึกษา"ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยโดยเฉพาะที่มีฐานะยากจน ลำบาก แต่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษาให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคงต่อเนื่อง ตามความสามารถของแต่ละคนเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและเพิ่มศักยภาพแก่เยาวชนไทยให้เข้าถึงระบบการศึกษาที่มีมาตรฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในอนาคต

นอกจากนี้ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งเป็น“มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร"(หรือ ม.ท.ศ.) ขึ้นทั้งยังทรงมีพระราชดำริให้กำหนดหลักเกณฑ์การพระราชทานทุนและวิธีการคัดเลือกคัดสรร และกลั่นกรองนักเรียนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อรับทุนการศึกษาพระราชทาน ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ต่อเนื่องไปจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความรู้ ความสามารถ และความต้องการของผู้เรียนที่สำคัญ ทรงให้ยึดหลักให้มีการกระจายทุนครบในทุกจังหวัดและให้มีความเท่าเทียมระหว่างเพศของผู้รับพระราชทานทุนด้วยปัจจุบันมีนักเรียนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง กว่า 1,000 คนแล้ว

ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลนั้น ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการพัฒนา ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์" และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยการปฏิรูปการศึกษาที่รองรับการพัฒนาในศตวรรษที่21ที่จะต้องมุ่งเน้นการการสร้างจิตนาการการคิดวิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์ โดยนโยบายสำคัญส่วนหนึ่ง ได้แก่ “การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้"ซึ่งความหมายที่แท้จริงคือ การลดเวลาที่นักเรียนเรียนแบบPassiveคือ เป็นผู้รับอย่างเดียวลง แล้วเพิ่มเวลาที่นักเรียนเรียนแบบActiveให้มากขึ้นคือ เป็นผู้ปฏิบัติเอง เรียนรู้เอง ให้มากยิ่งขึ้นซึ่งเกิดขึ้นได้ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน

ทั้งนี้ การจัดการเรียนรู้ต้องมุ่งให้นักเรียนได้รับความรู้ มีความเข้าใจ และจัดกิจกรรมให้นักเรียนสามารถนำความรู้นั้น ไปปรับใช้ได้ในสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปใช้ในการทำงาน การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องได้ อีกด้วย

"องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่3ธันวาคม ของทุกปี เป็น“วันคนพิการสากล" ทรงมีพระราชประสงค์ อยากให้ผู้พิการทางสายตาทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต ไม่ท้อถอยกับโชคชะตา พระองค์จึงทรงพระราชนิพนธ์บทเพลง“ยิ้มสู้" ขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้พิการทุกคน ซึ่งปัจจุบันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจกับ “ทุกคน" ในประเทศไทย ให้มีความเพียรอันบริสุทธิ์และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ทั้งนี้ บ่อยครั้งที่ พระองค์ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไปพระราชทานเลี้ยงอาหารที่โรงเรียนสอนคนตาบอดฯ ช่วงปีใหม่ โดยนายรัชตะ มงคล อุปนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดฯ เล่าว่า สมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ มาที่โรงเรียนฯ บ่อยมาก เพื่อทรงไปเยี่ยมเยียนนักเรียนผู้พิการทางสายตาหลายครั้งที่พระองค์โปรดที่จะเล่นกับเด็กๆ โดยไม่ให้บอกว่าพระองค์คือใคร แต่ทรงให้ขานพระนามย่อว่า “พล" อีกทั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์สอนวิชาดนตรี ให้แก่ผู้พิการทางสายตาและทรงเป่าแซกโซโฟนพระราชทานแก่ทุกคนอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า “ศาสตร์พระราชา" ให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆ รวมทั้ง การแก้ปัญหา “ผักตบชวา" ที่ดูแล้ว หลายคนคิดว่าไม่เกี่ยวกับเขาจนกว่าจะได้รับผลกระทบ และความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขัง ยิ่งกว่านั้นคนส่วนใหญ่มองผักตบชวาว่า “ไร้ค่า ไม่มีราคาค่างวดอะไร" แต่หากเรา รู้จักมองแล้วก็จะเห็นคุณค่า สามารถนำมาแปรรูป เกิดประโยชน์ งอกเงยเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กระเป๋าสานด้วยมือ อาหารสัตว์ หรือปุ๋ยหมัก “แปลงสวะ วัชพืช ให้เป็นทุนให้เป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงลูกเมียได้บ้าง ปัจจุบันผักตบชวา กว่า6ล้านตัน ทั่วประเทศ ทั้งในแหล่งน้ำปิด และแหล่งน้ำเปิดกำลังก่อให้เกิดปัญหา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศมา มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน เช่น ความหนาแน่นของจำนวนผักตบชวา ทำให้น้ำเน่าเสียเพราะขาดออกซิเจน ทำให้การไหลระบายของน้ำ เป็นไปได้ช้า และส่งผลเกิดปัญหาน้ำล้นตลิ่ง รวมทั้งกีดขวางการขนส่งและการสัญจรทางน้ำ อีกด้วย

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9ทรงเคยมีกระแสพระราชดำรัส เมื่อวันที่4ธันวาคม2532อันมีใจความ ที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทย ในปัญหาของสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและสังคมโลกที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นำเสนอคณะรัฐมนตรี และมีมติกำหนดให้วันที่4ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย" โดยในปีนี้คณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวา ที่รัฐบาลนี้ตั้งขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ