หัวเว่ย ชี้โอเปอเรเตอร์ไทยต้องมีคลื่นความถี่ในมืออย่างน้อย100เมกะเฮิร์ตซ์ หากหวังพัฒนาธุรกิจ 5G

ข่าวทั่วไป Monday July 30, 2018 11:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายตู้ เย่ชิง รองประธานบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์5G ของหัวเว่ยเทคโนโลยี กล่าวว่า"คลื่นความถี่ย่าน C-bandคือคลื่นความถี่ที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับ 5G โดยโอเปอเรเตอร์ในหลายประเทศทั่วโลกได้เลือกใช้หรือกำลังจะเลือกใช้และโอเปอเรเตอร์แต่ละรายจำเป็นต้องมีคลื่นความถี่ขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 100 เมกกะเฮิตรซ์ เพื่อเป็นรากฐานความสำเร็จทางธุรกิจของ 5G การมีคลื่นความถี่ขนาดใหญ่ต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีขึ้นถึง 10 เท่า และยกระดับโมบายบรอดแบนด์ให้ก้าวไปสู่อีกระดับทำให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินไปกับบริการคุณภาพสูงได้ทุกที่ทุกเวลา การพัฒนาเทคโนโลยี 5 G ในปัจจุบันเน้นไปที่การเตรียมแผนการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน C-band ให้ลงตัว แต่ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีและความต้องการหลักที่สำคัญอื่นก็ไม่ควรถูกมองข้ามไป เช่น การแยก uplink-downlinkให้สามารถลดจำนวนไซต์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้ ด้วยการติดตั้งใช้งาน 5G บนคลื่นความถี่ 2G/ 3G/ 4G ที่มีอยู่เดิมทั้งยังช่วยให้การครอบคลุมสัญญาณคลื่น C-band มีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ เครือข่าย 5G ยังต้องการการซินโครไนซ์ที่แม่นยำ การรบกวนสัญญาณต่ำ การแยกสเปกตรัมน้อยและประสิทธิภาพของคลื่นความถี่ที่สูงขึ้น

ประเทศที่มีคลื่นความถี่ C-bandไม่เพียงพอสามารถที่จะจัดสรรคลื่นความถี่ขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 100 เมกกะเฮิรตซ์ บนความถี่ประเภท TDD 2.6 หรือ 2.3 กิกะเฮิรตซ์ ให้แก่โอเปอเรเตอร์แต่ละราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนในขณะเดียวกันก็ช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาไปสู่คลื่นความถี่ สูงของ 5G โมบายบรอดแบนด์ที่มีทรัพยากรคลื่นความถี่รองรับเป็นตัวขับเคลื่อนให้ GDP เติบโตขึ้นได้ ดัชนีการเชื่อมโยงสื่อสารทั่วโลก ประจำปี 2561 (2018 Global Connectivity Index หรือ GCI) ของหัวเว่ย ได้บ่งชี้ว่าประเทศที่ให้ความสำคัญกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยคาดว่าในปี พ.ศ.2568 เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ


แท็ก หัวเว่ย  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ