(เพิ่มเติม) ผบ.ตร.เชื่อระเบิด-เพลิงไหม้ป่วน กทม.เชื่อมโยงการเมือง ผู้ร่วมก่อเหตุไม่น้อยกว่า 15 คนไม่รวมคนเบื้องหลัง

ข่าวทั่วไป Thursday August 8, 2019 16:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวน เหตุระเบิดและเหตุเพลิงไหม้หลายจุดในเขตพื้นที่กทม.และจ.นนทบุรีเมื่อสัปดาห์ก่อน การกระทำของคนร้ายมีลักษณะเป็นขบวนการ แบ่งแยกหน้าที่การลงมือทำ มีการอำพรางตัวเข้าไปก่อเหตุ โดยมีผู้ร่วมขบวนการในการก่อเหตุไม่น้อยกว่า 15 คน ยังไม่รวมถึงผู้ที่ให้การสนับสนุน หรือ ผู้ที่อยู่ในระดับการวางแผนสั่งการต่างๆ

"ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับเหตุระเบิดทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2544 ส่วนใหญ่ 80-90% เป็นเรื่องการเมือง" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1-2 ส.ค.ที่ผ่านมาได้มีเหตุพบระเบิดแสวงเครื่องและเกิดเหตุระเบิดหลายจุด รวมทั้งเหตุเพลิงไหม้ โดยจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) พบว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.เวลาประมาณ 15.40 น. ได้พบวัตถุต้องสงสัยจำนวน 2 ชิ้น ถูกวางซุกซ่อนไว้ในพุ่มไม้ด้านหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเมื่อวันที่ 2 ส.ค. เวลาประมาณ 06.00-09.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดที่ทางเข้าออกศูนย์ราชการ อาคาร B จำนวน 2 ครั้ง, เกิดระเบิดหน้ากองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 1 ครั้ง

เวลาประมาณ 08.30 น. เกิดเหตุระเบิดที่หน้าอาคารมหานคร จำนวน 2 ครั้ง เวลาประมาณ 08.40 น. เกิดเหตุระเบิดที่หน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 1 ครั้ง ซึ่งจากพยานหลักฐานที่ตรวจเก็บได้เป็นระเบิดแสวงเครื่อง มีการประกอบระเบิดในลักษณะเดียวกัน จากนั้นช่วงเวลาประมาณ 04.00-05.00 น.เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ร้านค้าย่านประตูน้ำ จำนวน 4 จุด ร้านค้าย่านสยาม ปทุมวัน อีกจำนวนหนึ่ง

"ระเบิดเป็นแพทเทิร์นเดียวกันทั้งหมด อุปกรณ์ทั้งหมดจุดชนวนด้วยเครื่องตั้งเวลา...แต่ยังไม่รู้ว่าประกอบสำเร็จมาจากที่ไหน" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

ผบ.ตร.กล่าวว่า ขบวนการนี้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มกำหนดอุดมการณ์ 2.กลุ่มวางแผน สั่งการ คัดเลือกคน 3.กลุ่มสนับสนุนทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ และ 4.กลุ่มลงมือปฏิบัติที่เรียกว่าคนหน้าขาวหรือคนที่ไม่เคยก่อเหตุ ซึ่งในกระบวนการสืบสวนสอบสวนพบว่ามีความสลับซับซ้อนมาก

"คนที่ลงมือจะไม่รู้จักกันเลย ทำงานตามใบสั่ง ถึงแม้เราจะจับกุมผู้ต้องสงสัยในจุดที่ 1 ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจุดอื่นๆ เป็นใคร และถุงที่เขาถือคนละใบจะมีหมวก 5 ใบ เสื้อ 5 ตัว เอาไว้สับเปลี่ยนเป็นระยะๆ เพื่ออำพรางตัวตลอดเวลา" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 ส.ค. เจ้าพนักงานตำรวจได้อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 2 ราย ซึ่งมีพยานหลักฐานเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยควบคุมตัวไว้ที่ ศูนย์พิทักษ์สันติ อ.เมือง จ.ยะลา

ในขณะเดียวกันทางทีมสืบสวนสอบสวนคดีวางระเบิดในกทม.ได้เชื่อมโยงพยานหลักฐานต่างๆ และประสานข้อมูล ข้อเท็จจริง จากการควบคุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 ราย คือ นายลูไอ แซแง อายุ 22 ปี ชาวจ.นราธิวาส และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี ชาวจ.นราธิวาส

ผบ.ตร.กล่าวว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ต้องใช้หลักฐานทุกอย่าง ไม่ใช่แค่หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขณะเดียวกันการให้ข่าวของเจ้าหน้าที่ก็ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนร้ายไหวตัวหลบหนี และพยายามทำงานอย่างเต็มที่ แต่ที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีการทำงานตลอดเวลา ซึ่งเป็นการบั่นทอนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างมาก

"ขอร้องสื่อโซเชียลอย่าบิดเบือนข้อมูล อย่าไปมโน หากเสนอข้อมูลอะไรมาก็ยินดีที่จะรับฟัง และหากเป็นสิ่งผิดปกติก็ขอให้ช่วยกันแจ้งเจ้าหน้าที่" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

สำหรับผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวางระเบิดที่บริเวณหน้าสำนักงาน สตช.ทั้ง 2 รายที่จับกุมตัวได้นั้น ขณะนี้ได้เสนอขอให้ออกหมายจับแล้วใน 3 ข้อหา คือ 1.เป็นอั้งยี่ซ่องโจร 2.มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง และ 3.พยายามฆ่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ