ผู้ตรวจการฯ ยื่นหนังสือแนะนายกฯ ขึ้นบัญชีควบคุมพาราควอตเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่สี่

ข่าวทั่วไป Friday September 13, 2019 18:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 13 กันยายน 2562 ขอให้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศเพื่อปรับระดับการควบคุมพาราควอตให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่สี่ หรือห้ามนำเข้าหรือห้ามจำหน่าย ห้ามมีไว้ในครอบครอง ให้มีผลโดยเร็วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป

เนื่องจากปัญหาการใช้สารเคมีพาราควอตยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการใช้อย่างเสรีโดยยังไม่มีมาตรการควบคุมการใช้ในภาคการเกษตร ทำให้ผู้ใช้ขาดความระวังหรือป้องกันการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เสี่ยงต่อชีวิตและร่างกายของผู้ใช้ ทั้งจากอุบัติเหตุและจากการสัมผัสสารเคมีปนเปื้อนทั่วไป

ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานดำเนินการปรับปรุงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อยกเลิกการใช้พาราควอตให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน ซึ่งแจ้งไปครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค.61 ซึ่งต่อมากระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายยังคงอนุญาตให้ใช้สารพาราควอตได้ภายใต้มาตรการจำกัดการใช้โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งจะมีผลบังคับวันที่ 20 ต.ค.นี้

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ตรวจการแผ่นดินได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 เม.ย.62 ตามกระบวนการของกฎหมายของผู้ตรวจการแผ่นดิน และขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการวัตถุอันตรายดำเนินการออกประกาศให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่ายังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินได้

"เรื่องดังกล่าวยังไม่อาจหาข้อยุติได้ ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจึงดำเนินการตามกฎหมายเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ" นายรักษเกชา กล่าว

ผู้ตรวจการแผ่นดินได้เน้นย้ำและระบุในหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดปรากฏถึงความเป็นอันตราย ความเสี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องตระหนักถึงพิษร้ายของสารเคมี ที่ทำให้ประชาชนมีโอกาสเจ็บป่วยเรื้อรัง สูญเสียชีวิตและร่างกาย หรือการบริโภคผลผลิตทางการเกษตรหรือสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมที่มีสารพิษตกค้าง หรือแม้กระทั่งการถ่ายทอดสารพิษตกค้างจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ และมีกรณีตัวอย่างผู้ได้รับพิษของวัตถุอันตรายพาราควอตจนถึงแก่ชีวิตเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดตาก

อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขยังได้มีความเห็นยืนยันอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนจากวัตถุอันตรายพาราควอต ส่งผลต่ออันตรายหลายระบบอวัยวะทั้งตา จมูก ปาก ผิวหนัง ปอด หัวใจ ตับ ไต สมอง และระบบประสาทส่วนกลาง หากได้รับในปริมาณมากส่งผลให้เกิดภาวะพังผืดในปอด หอบเหนื่อย ริมฝีปากสีคล้ำ ปอดบวมน้ำจนถึงเลือดออกในเนื้อเยื่อปอด ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ตับจะถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ตับอักเสบได้ และถ้ามีการทำลายที่ไต จะทำให้สูญเสียความสมดุลของภาวะกรด ด่าง และน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น เกิดน้ำคั่งในร่างกาย ปัสสาวะออกน้อยลง จนถึงไตวายเฉียบพลัน นำไปสู่การเสียชีวิต

"การปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินโดยกำหนดนโยบายระดับประเทศเพื่อยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายพาราควอตย่อมเกิดประโยชน์ต่อประชาชน และเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาซึ่งได้กำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนในเรื่องการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยหน่วยงานของรัฐย่อมสามารถใช้ระยะเวลาช่วงเปลี่ยนผ่านพัฒนานวัตกรรมกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ทดแทนสารเคมีได้" นายรักษเกชา กล่าว

ในโอกาสเดียวกันนี้ยังได้ส่งหนังสือเร่งรัดให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีผลโดยเร็ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ