COVID-19"เทวัญ" ยันรัฐบาลมีมาตรการรับมือโควิด แม้ WHO ยกระดับการระบาด,มท.1 ยันยังไม่ปิดศูนย์กักตัวทั่วประเทศ

ข่าวทั่วไป Thursday March 12, 2020 18:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ยืนยันว่า แม้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะการระบาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การแพร่ระบาดในไทยยังอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่ถึงระยะที่ 3 และได้มีการเตรียมมาตรการรองรับไว้แล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลอยากให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนในการดูแลป้องกันของคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องขอวีซ่าและมีใบรับรองแพทย์ จึงจะเข้าประเทศไทยได้ ส่วนประเทศที่เหลือที่ไม่ได้เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยง ก็จะมีมาตรการคัดกรองตามขั้นตอน ซึ่งมั่นใจในมาตรฐานได้ หากพบว่าป่วยจะถูกแยกตัวไปตรวจที่โรงพยาบาล

นายเทวัญ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง 14 วัน จะต้องให้กำลังใจและให้ความรักคนที่ถูกกักตัว ให้ผ่านไปได้ด้วยเช่นกัน และอยากให้ผู้ที่อยู่ระหว่างเฝ้าอาการหรือถูกกักกันโรค ให้มีความรับผิดชอบและไม่ออกไปยังนอกพื้นที่กักตัว โดยอยากให้คิดว่า ท่านไม่ใช่คนป่วย แต่ท่านเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงมาก

ด้านพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยืนยันว่า ไม่มีการปิดศูนย์ควบคุมดูและกักตัวทั่วประเทศแต่อย่างใด ยังคงไว้เผื่อใช้ในอนาคตเมื่อมีความจำเป็น เช่น ที่โรงพยาบาล บางขุนเทียน เป็นต้น โดยยอมรับว่า ตนเองอาจสื่อสารผิดพลาดไป แต่เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนวิธีการควบคุมตัว โดยให้ผู้ที่สังเกตอาการให้ไปอยู่ที่ภูมิลำเนา ซึ่งการกักตัวอยู่ที่บ้านเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะส่งบุคลากรไปดูแล และมีอำนาจเพิ่มเติม รวมถึงบูรณาการกับทุกภาคส่วน และใช้ความเข้าใจ ให้ทุกคนช่วยเหลือกัน

ส่วนการที่กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.เข้าเมือง ประกาศยกเลิก Visa on Arrival (VOA) 18 ประเทศ และยกเลิก Free Visa ชั่วคราวกับนักท่องเที่ยว 3 ประเทศ คือ อิตาลี เกาหลีใต้ ฮ่องกง นั้น ยังสามารถขอวีซ่าได้ที่สถานทูตไทยในประเทศนั้นๆ แต่ต้องมีเอกสารทางการแพทย์รับรองชัดเจน โดยจะให้เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ถึงวันที่ 30 กันยายน นี้ พร้อมย้ำว่า มาตรการนี้ไม่ใช่เป็นการปิดประเทศแต่อย่างใด

สำหรับคนต่างชาติที่มาจากประเทศเสี่ยง 4 ประเทศหากไม่มีไข้ก็จะมีการกักตัว 14 วัน ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แต่หากมีไข้เฝ้าระวัง ก็จะมีการส่งโรงพยาบาลทันที

สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ ข้อมูลช่วงวันที่ 23 ก.พ.-7 มี.ค. 63 เดินทางกลับมาแล้ว 1,882 ราย ติดตามตัวได้แล้ว 1,815 ราย มีการกักตัวที่บ้านและมีอาการปกติ 1,791 ราย มีไข้ 24 ราย ได้ส่งให้สาธารณสุขรับไปดูแลต่อ และข้อมูลวันที่ 8-11 มี.ค. 63 เดินทางกลับมา 798 คน อยู่ในดูแลของศูนย์ฯ 370 ราย กักตัวที่บ้านและมีอาการปกติ 406 ราย มีไข้ 22 คน

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้วันนี้จะมีการติดเชื้อเพิ่มอีก 11 ราย โดยผู้ป่วยมีอายุระหว่าง 25-38 ปี แต่ยืนยันว่า ยังไม่ใช่ลักษณะ Super Spreader ของโรคโควิด-19 เนื่องจากผู้ป่วยที่พบทั้งหมด มีข้อมูลอย่างชัดเจน และมีพฤติกรรมเสี่ยง คือการดื่มสุราแก้วเดียวกัน ยังไม่นำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น รวมถึงสามารถติดตามข้อมูลได้อย่างชัดเจน

ส่วนเรื่องการกักตัวที่บ้านนั้น ถือเป็นปรับการพัฒนาการดูแลสุขภาพผู้มีความเสี่ยง โดยให้ยึดหลักให้อยู่ในที่เหมาะสมคือที่บ้าน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามหลักวิชาการขององค์การอนามัยโลก โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เข้าไปให้ความรู้และดูแล รวมถึงนำมาตรการของทางท้องถิ่นไปควบคุม แต่ก็ยอมรับว่ามีส่วนน้อยที่ไม่ทำตามก็จะนำกฎหมายมาบังคับใช้

สำหรับการคงศูนย์ควบคุมดูและกักตัวทั่วประเทศนั้น จะมีการปรับไปใช้เพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่ถูกให้กักตัวอยู่ที่บ้านแต่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย หรือ คนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศและยังไม่มีภูมิลำเนาที่ชัดเจน หรือสามารถเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตได้ ศูนย์เหล่านี้จึงยังมีประโยชน์อยู่

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่ากระทรวงได้ร่วมกับน้องๆกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงดิจิทัลสตาร์ทอัพ สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อว่า ThaiFightCOVID โดยจัดทำแอฟพลิเคชั่น "AOT Airports" มาใช้ สำหรับเก็บข้อมูลบุคคลทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย ที่จะถูกติดตาม โดยใช้มือถือในการเข้าไปโหลแอฟพลิเคชั่นดังกล่าว ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับภาคประชาชน เพื่อรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19

"ผู้โดยสารที่เป็นลูกค้าของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยหลังจากที่ผ่านจุดคัดกรอง จะมีบาร์โค้ดให้ใช้โทรศัพท์มือถือสแกนเพื่อโหลด เมื่อโหลดเสร็จ ให้ถ่ายบอร์ดดิ้งพาส ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ใช้เวลาประมาณ 2 นาที โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเป็นผู้ตรวจสอบว่ามีการโหลดแอพพลิเคชั่นนี้มาแล้วหรือไม่ และได้กรอกข้อมูลส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อดำเนินการเสร็จทุกขั้นตอนถึงจะอนุญาตให้เข้าประเทศ"

ส่วนผู้ที่ไม่มีซิมการ์ด สามารถซื้อซิมการ์ดจากผู้ให้บริการ ที่วางจำหน่าย ณ จุดวัดอุณหภูมิ ในราคา 49 บาท ซึ่งสามารถใช้ซิมได้ 14 วัน โดยสามารถซื้อได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

ทั้งนี้ หากปิดบังข้อมูลจะมีความผิด รวมถึงหากเปลี่ยนพิกัดติดตามตัวก็จะมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน รวมถึงหากพบการ;ละเลย เพิกเฉยความรับผิดชอบต่อสังคมในกรณีต่างๆก็จะมีโทษตามกฎหมายตามพ.ร.บ.ควบคุมโรค


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ