นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า ให้สิทธินายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจว่าตนเองสมควรจะดำรงตำแหน่งต่อไปหรือไม่ เพราะในการถือหุ้นในบริษัท กมลาบีช จำกัดเกิน 5% นั้นตามรัฐธรรมนูญไม่ผิด และในขั้นตอนแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่สามารถติดต่อกับผู้ถือหุ้นของกมลาบีชเพื่อขอถอนหุ้นได้ "ตอนชี้แจงบัญชีทรัพย์สินได้ทำหมายเหตุไว้แล้วว่า จะถอนหุ้นในบริษัท แต่ไม่สามารถติดต่อกับใคร ทั้งบริษัทหรือผู้ถือหุ้นคนอื่นได้...ส่วนการลาออกขึ้นกับดุลยพินิจของนายกฯ" นายสมหมาย กล่าวในการแถลง นายสมหมาย ยืนยันว่า หากรัฐมนตรีคนอื่นมองว่าผิดจรรยาบรรณ ก็ต้องมาตีความ ซึ่งแต่ในเคสของผมๆ ไม่รู้เรื่องและเคยแจ้งป.ป.ช.ไปแล้ว และที่เข้ามาทำงานเพราะถูกขอร้องให้มา หากจะให้ลาออกหรือทำหน้าที่ต่อไป ขอให้เป็นวิจารณาญาณของนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนั้น นายสมหมาย ระบุว่า ได้พยายามถอนตัวจากบริษัท กมลาบีชมาตั้งแต่เป็นประธานคณะกรรมการ ธนาคารทหารไทย (TMB) แล้ว โดยตามข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า บริษัท กมลาบีช จำกัด มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่งมีชื่อตนเองถือหุ้น 1 หมื่นหุ้น บริษัทดังกล่าวมีงบการเงินล่าสุดปี 2547 "ในการแจ้งรายงานบัญชีทรัพย์สินของป.ป.ช.ในหมวดเงินลงทุนของผม ซึ่งระบุว่ามีชื่อลงทุนในกมลาบีช 1 หมื่นหุ้น มูลค่าไม่มี เพราะผมไม่ได้จ่ายเงินค่าหุ้น และติดต่อบริษัทไม่ได้ ซึ่งในรายงานได้ทำหมายเหตุไว้ว่า ได้ถือหุ้นเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากถือหุ้นได้ 3 ปี ก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากบริษัทหรือผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ จึงเข้าใจว่าเป็นบริษัทร้างไปแล้ว" นายสมหมาย กล่าว นายสมหมาย กล่าวว่า ได้นำข้อมูลรายงานป.ป.ช.ตั้งแต่ช่วงเข้ารับตำแหน่ง โดยการเข้าชี้แจงเรื่องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเข้าใจดี และเป็นเคสที่เข้าใจง่ายที่สุด และหากนายกฯ ให้ทำงานต่อก็อยากทำงานอย่างสบายใจ เนื่องจากขณะนี้ยังเหลือกฏหมายการเงินอีก 5 ฉบับ "ตอนนี้ หากนายกฯจะให้ลาออกก็พร้อม ใช้เวลาครึ่งชม.ก็ออกได้แล้ว แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วอยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพราะหลังเกิดการปฏิวัติทำให้ไทยล้าหลังประเทศอื่นไปแล้ว 1 ปี" นายสมหมาย กล่าว สำหรับผลงานในช่วงเข้ามารับตำแหน่งช่วง 1 ปี ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล การกำหนดนโยบายตามที่รรัฐบาลกำหนด ได้แก่ การปราบปรามทุจริต กรมสีเทาโดยพยายามทำให้เป็นสีขาว นโยบายเรื่องภาษี และการผลักดันกฏหมายออกมาแล้ว 7 ฉบับ