นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น คลัสเตอร์หลักมาจากเรือนจำซึ่งเป็นพื้นที่ปิดและไซต์ก่อสร้างเขตหลักสี่ที่สั่งปิดแล้วได้ทำเป็นโรงพยาบาลสนาม ทั้งหมดใช้มาตรการ Bubble and Seal ไม่ให้มีการแพร่เชื้อสู่ภายนอก คัดแยกประเภทผู้ป่วยเป็นกลุ่มเขียวเหลืองแดง โดยจะนำเฉพาะผู้ติดเชื้อมีอาการที่ต้องถึงมือแพทย์จริงๆออกมา ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อยังเป็นกลุ่มสีเขียว เมื่อครบ 14 วันก็จะหายดี เช่น เรือนจำติดเชื้อ 9 พันกว่าคน เป็นกลุ่มสีเขียวประมาณ 70% เมื่อครบ 14 วันจะมีประมาณ 5 พันกว่าคนที่กลายเป็นจำนวนผู้รักษาหาย ทั้งนี้ ได้ให้การสนับสนุนยารักษาโรคและการฉีดวัคซีน
นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์ถือว่ายังควบคุมได้ ไม่ถึงขั้นต้องเพิ่มมาตรการ ส่วนที่มีการผ่อนคลายการรับประทานอาหารในร้าน ขอให้ทุกคนยังคงมาตรการป้องกันควบคุมโรค ทั้งเว้นระยะห่างสวมหน้ากาก ล้างมือ หรือทำงานที่บ้าน
"หลังการผ่อนคลายมาตรการจะมีการประเมินสถานการณ์ หากมีความจำเป็นก็สามารถเข้มมาตรการขึ้นมาได้ ซึ่งการผ่อนคลายและกลับมาเข้ม ไม่ได้แปลว่าบริหารล้มเหลว หลายประเทศมีการผ่อนคลายและกลับมาเข้มเช่นกัน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ต้องเพิ่มมาตรการ แต่หากจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการหรือล็อกดาวน์ ทาง ศบค.จะมีการพิจารณา แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น" นายอนุทินกล่าวนายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ได้เข้าร่วมประชุมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โดยได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และกระทรวงฯ ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงรายงานการเข้ามาของจำนวนวัคซีนแต่ละเดือน โดยประเทศไทยมีวัคซีนหลัก คือ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่จะทยอยส่งมาให้กรมควบคุมโรคตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป
โดยแผนการกระจายวัคซีนมี 3 ช่องทาง คือ 1.ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม 2.การนัดของโรงพยาบาล (รพ.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และ 3.การฉีดในระดับองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กลุ่มบริษัท กลุ่มธุรกิจ ซึ่งสามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ 1.องค์กรทำเรื่องและส่งรายชื่อมายังกรมควบคุมโรค เพื่อให้มีการจัดลำดับ นัดวัน-เวลา เข้ามารับบริการฉีดในหน่วยบริการของรัฐ และ 2.องค์กร จัดเตรียมสถานที่ และออกค่าใช้จ่ายจ้างบุคลากรจาก รพ.เอกชน มาฉีดให้บุคลากรของตัวเอง ประสานมายังกรมควบคุมโรค เพื่อให้จัดส่งวัคซีนไปให้ นับเป็นการแบ่งเบาภาระงานของ สธ. และเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ขณะนี้มีหลายองค์กรติดต่อเข้ามา เช่น กระทรวงคมนาคม ขอให้ฉีดในบุคลากรระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งทางบก ทางน้ำ หรือทางอาการ โดยเสนอใช้สถานีกลางบางซื่อเป็นจุดบริการ
นอกจากนี้ ยังได้หารือร่วมกับ รมว.แรงงาน ที่เสนอว่าจะขอนำวัคซีนไปบริการฉีดให้กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ซึ่งกระทรวงฯ มีความยินดีอย่างยิ่ง ถือเป็นการดีที่หลายหน่วยงานเข้ามาช่วยกันฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด และขณะนี้รัฐบาลได้สั่งซื้อวัคซีนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง