ไทยพบภาวะเกล็ดเลือดต่ำและหลอดเลือดอุดตันหลังได้รับวัคซีนแอสตร้าฯน้อยกว่าตปท.

ข่าวทั่วไป Friday July 23, 2021 11:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการที่มีรายงานพบผู้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับหลอดเลือดอุดตัน หรือภาวะ VITT หลังการได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิด Viral vector vaccine เช่น AstraZeneca และ Johnson & Johnson/Janssen ในต่างประเทศ อาจทำให้ประชาชนเป็นกังวลไม่กล้าฉีดวัคซีนชนิดนี้นั้น

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้แจงข้อมูลว่า ตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนจนถึงวันที่ 11 ก.ค.64 มีการฉีดวัคซีน AstraZeneca ในคนไทยไปแล้ว 5,360,745 โดส และมีผู้ป่วยยืนยันอาการ VITT โดยคณะผู้เชี่ยวชาญเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ภายหลังการได้รับวัคซีน 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 26 ปี มีโรคประจำตัว คือ ไมเกรน มาด้วยอาการปวดศีรษะมากขึ้นกว่าเดิม ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่ามีค่าเกล็ดเลือดต่ำ ค่า D-dimer สูง และ Anti PF4/heparin antibody เป็นบวก อย่างไรก็ตามเมื่อได้รับการรักษาด้วยยา intravenous immunoglobulin (IVIG) แล้ว ก็มีอาการดีขึ้น

สำหรับภาวะ VITT ในประเทศไทยมีอุบัติการณ์น้อยกว่าต่างประเทศมาก คือ 1 : 5,000,000 ในขณะที่ต่างประเทศมีอุบัติการณ์ประมาณ 1 : 125,000-1 : 1,000,000 ซึ่งถือว่ามากกว่าประเทศไทยถึง 5-40 เท่า แม้จะเป็นภาวะที่อาจเกิดอาการรุนแรง แต่หากได้รับการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วก็จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

ปัจจุบันโรงพยาบาลทั่วประเทศไทย สามารถตรวจเกล็ดเลือดได้ทุกแห่ง และมีห้องปฏิบัติการอย่างน้อย 78 แห่งที่มีความพร้อมในการตรวจ D-dimer หากแพทย์พบว่ามีค่าเกล็ดเลือดต่ำ และ D-dimer สูงจะส่งตัวอย่างเลือดเพื่อยืนยันอีกครั้ง ด้วยวิธีที่เรียกว่า Anti PF4/heparin antibody และ Platelet activation assay ตามแนวทางของสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย โดยทั้งหมดนี้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

นพ.ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเดือน ก.ค.มีการปรับสูตรวัคซีน ทำให้มีผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca มากขึ้น หากผู้ได้รับวัคซีนคนใดมีอาการบ่งชี้ว่ามีอาจหลอดเลือดอุดตัน เช่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ ปวดหลังรุนแรง ขาบวม เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก ตามัว เห็นภาพซ้อน หลังได้รับวัคซีนภายใน 30 วัน ให้รีบปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล หากผลการตรวจเบื้องต้นเข้ากับภาวะ VITT แพทย์จะพิจารณารักษาทันที ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลประเทศไทยมีความพร้อมในการตรวจและรักษาภาวะนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ