
ในการเสวนาครั้งนี้ มีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งเสริมวิถีปฏิบัติต่อสิ่งเหนือธรรมชาติในบริบทเมือง

ผศ.ดร.เกษม กล่าวว่า ในสังคมชนบท ไสยศาสตร์รับใช้ "ความเป็นชุมชน" (collective) ในขณะที่ชุมชนเมือง ไสยศาสตร์ตอบสนอง "ความเป็นปัจเจกชน"
"ไสยศาสตร์มีบทบาทค่อนข้างมากและสำคัญกับสังคมชนบท กิจกรรมของไสยศาสตร์อยู่ในโลกพิธีกรรม ประเพณี ซึ่งโยงกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อร่วมกัน ตอบโจทย์การดำรงอยู่ของชุมชน ในบริบทเช่นนี้ พิธีกรรมสำคัญกว่าความเชื่อ บางความเชื่อ คนอาจไม่เชื่อเรื่องนั้นแล้ว แต่พิธีกรรมยังดำรงอยู่เป็นเครื่องมือยึดโยงคนในชุมชน"
"ไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในชีวิตของคนในสังคมเมือง" ผศ.ดร.กัญญา อธิบายเชื่อมโยงความเฟื่องฟูของไสยศาสตร์กับบริบทสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ไม่ปลอดภัย และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสในชีวิต
"ในเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของเมือง ความรวยกระจุก จนกระจาย ช่องว่างทางรายได้มาก ความเหลื่อมล้ำสูง ผู้คนจำนวนมากจึงเข้าหาความเชื่อเชิงไสยศาสตร์เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ว่าจากสภาวการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม"ผศ.ดร.กัญญา ยกตัวอย่าง คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานเป็นคนงานก่อสร้างในเมือง รับค่าแรงรายวัน ซึ่งชีวิตในบริบทเช่นนี้มีความไม่มั่นคง ความไม่แน่นอน และความไม่ปลอดภัยสูง
ในบรรดาความปั่นป่วนไม่แน่นอนของสังคม มิติด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเดินเข้าสู่พื้นที่ของไสยศาสตร์มากที่สุด ผศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าว
"ไสยศาสตร์ในสังคมเมืองเน้นตอบสนองความต้องการและเป้าหมายเชิงปัจเจก และวนเวียนอยู่กับเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย ความสำเร็จ มิติความรักความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองในโลกทุนนิยมแสวงหา"ความรู้สึกแก่งแย่งชิงดี การสั่งสมความมั่งคั่งตามกระแสทุนนิยม ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง เมื่อรู้สึกไม่มั่นคง ก็ยิ่งแสวงหาความเชื่อ พลังเหนือธรรมชาติเพื่อบันดาลในสิ่งที่ปรารถนา
"ความปรารถนาในความมั่งคั่งทำให้เกิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรม และวัตถุมงคลใหม่ ๆ ที่เชื่อและคาดหวังว่าจะนำโชคลาภและความสำเร็จทางด้านวัตถุมาให้"