ดุสิตโพลเผยคนต้องการให้ทำประชามติก่อนแก้รธน. เชื่อขัดแย้งการเมืองยุติยาก

ข่าวทั่วไป Saturday September 19, 2009 14:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ถึง 86.59% ระบุว่าก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นก่อน

โดยส่วนใหญ่เห็นว่าการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรอยู่ในขั้นตอนที่ให้มีการทำประชามติก่อนว่าประชาชนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ รองลงมาคือ ให้แก้ไขตามขั้นตอนปกติโดย ส.ส. และ ส.ว.แล้วเสนอให้ประชาชนลงประชามติ และอันดับสาม ให้ดำเนินการแก้ไขโดยจัดตั้งส.ส.ร.3 จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ แล้วเสนอให้ประชาชนลงประชามติ

สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นสำคัญก่อนนั้น ในประเด็นจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าเหมาะสมมากที่สุดคือ มีจำนวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และแบบแบ่งเขต 400 คน

ส่วนรูปแบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ประชาชนคิดว่าเหมาะสมมากที่สุด คือ การเลือกตั้งผู้สมัครได้เขตละ 1 คน(เขตเดียวคนเดียว) ขณะที่จำนวนสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าเหมาะสม คือ เลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนจำนวน 200 คน

นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ 37.42% เห็นด้วยกับการยกเลิกข้อห้ามมิให้ ส.ส.ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ เช่น ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี, รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ในขณะที่ประชาชนจำนวนใกล้เคียงกันคือ35.36% ระบุว่าไม่แน่ใจ ส่วนกรณีการยกเลิกข้อห้ามมิให้ ส.ส.ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง แต่งตั้งโยกย้ายในการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นนั้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 53.33% ต่างเห็นด้วย

ส่วนกรณีที่กรรมการบริหารพรรคคนใดทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจนถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ได้รับใบแดง)นั้น ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยต่อการที่จะให้ยกเลิกความผิดเรื่องการยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเงื่อนไขการทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี พบว่าประชาชนส่วใหญ่ 42.37% ยังไม่เชื่อมั่นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองยุติลงได้ ส่วนรองลงมา 38.42% ระบุว่าไม่แน่ใจ และอีก 19.21% เชื่อมั่นว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะยุติได้ พร้อมกันนี้ประชาชนยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 3 อันดับแรก คือ ควรเปรียบเทียบผลดี-ผลเสียของรัฐธรรมนูญปี 50 กับรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆให้ประชาชนรู้ก่อน รองลงมา คือ ควรแก้ไขเฉพาะประเด็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง และอันดับสาม หลังจากแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วควรยุบสภาจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

สำหรับผลสำรวจดังกล่าว มาจากความคิดเห็นของประชาชนจำนวนทั้งสิ้น 1,276 คน ในระหว่างวันที่ 15-17กันยายน 52



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ