นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในปี 2554 กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการตั้งงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการทั้งหมดประมาณ 900 ล้านบาท กำหนดเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือการปรับโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่เกษตรกรรม และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์
สำหรับส่วนแรก คือ การเตรียมการเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่การเกษตรให้เป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ นั้น กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดินได้ดำเนินการเบื้องต้นอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายในการทำการเกษตรอินทรีย์ประมาณ 17 ล้านไร่ เกษตรกรเป้าหมายทั้งหมดประมาณ 17,000 ราย ซึ่งทางกรมพัฒนาการที่ดินจะต้องเข้าไปสำรวจพื้นที่ที่สามารถปรับปรุงได้ แล้วทำการตรวจสอบว่ามีศักยภาพจะปรับเปลี่ยนให้เป็นเกษตรอินทรีย์ได้หรือไม่ ซึ่งจะพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานต่างๆ อาทิ จะต้องไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีนานติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี เพื่อประสิทธิภาพของการเกษตรอินทรีย์ ส่วนเกษตรกรจะถูกคัดเลือกเองตามพื้นที่นั้นๆ
ทั้งนี้ หากในบางพื้นที่ไม่สามารถทำเกษตรอินทรีย์ได้ทั้งหมด ก็อาจมีทางเลือกให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษหรือเพาะปลูกสินค้าปลอดสารพิษไปก่อน
ส่วนที่สอง จะมองไปในภาพรวมของสินค้าอินทรีย์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าได้ โดยเน้นสินค้าหลักที่เป็นจุดแข็งของไทย ประกอบด้วย ข้าว ผัก ผลไม้ และสมุนไพรต่างๆ ซึ่งพื้นที่ ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นพื้นที่หนึ่งที่ให้ผลผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงมาก หากสินค้าต่างๆ มีคุณภาพดีก็จะนำออกจำหน่ายทั้งภายในประเทศ และถ้ามีตลาดที่พอจะรองรับการส่งออกได้ก็จะผลักดันให้สินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย
ในปีที่ผ่านมา ไทยสามารถส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังต่างประเทศ มีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท และมีการตรวจสอบมาตรฐานอย่างรัดกุม เพื่อให้ประเทศคู่ค้ามั่นใจคุณภาพของสินค้าที่จะส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้ชาติอื่น คาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ของไทยน่าจะเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างได้เข้าประเทศ เป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท