พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการกองทัพบก นำฝ่ายปฎิบัติการทุกเหล่าทัพจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ชี้แจงถึงประสบการณ์ความสำเร็จในการใช้เครื่องตรวจมวลสาร รุ่น GT200 โดยระบุการชี้แจงครั้งนี้เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ต้องการที่จะโต้แย้งผลทดสอบประสิทธิภาพฯ ที่มี รมว.วิทยาศาตร์และเทคโนโลยี เป็นประธาน ซึ่งพบว่าเครื่องมือดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เนื่องจากชี้เป้าหมายได้ถูกต้องเพียง 4 ใน 20 ครั้ง
พร้อมกับระบุว่า ในขณะนี้คงยังจะให้ผู้ปฏิบัติการมีการใช้เครื่อง GT200 ต่อไปก่อนเ เนื่องจากขณะนี้ทางรัฐบาลยังไม่ได้สังห้ามใช้ ประกอบกับยังไม่มีเครื่องมืออื่นมาทดแทน
"ทางกองทัพบก คงขอประเมินผลให้ละเอียดกว่านี้ก่อน และจะขอให้ทางกระทรวงวิทย์ฯ จัดชุดลงไปชี้แจงให้ผู้ใช้ได้ทราบ" ผบ.ทบ.กล่าวแถลง
ในการชี้แจงนั้น ผู้ปฏิบัติงานต่างยืนยันถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือนี้ที่สามารถช่วยระงับเหตุระเบิดได้หลายครั้ง รวมทั้งการตรวจยึดสารเสพติดและอาวุธเป็นจำนวนมาก และเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือนี้ในการปฏิบัติงานต่อไป
"ถ้าไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ ใช้สุนัขก็ได้ถ้าเขาเอากระเทียมมาปิด สุนัขก็ตรวจไม่พบ(ยาเสพติด) แต่เครื่องมือนี้ตรวจพบ" พ.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เจ้ากรมยุทธการกองทัพบก(จก.ยก.ทบ.) กล่าว
เมื่อเห็นว่าเครื่องมือดังกล่าวสามารถใช้งานได้ดี กองกำลังอื่นจึงมีความต้องการเครื่องนี้ ในปี 51-52 ทางกองทัพจึงได้จัดเครื่องมือนี้เข้ามา 547 เครื่อง ซึ่งนอกเหนือจากภารกิจที่จะใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ยังใช้ในภารกิจอื่นๆ ด้วย และปัจจุบันมีใช้ทั้งหมด 757 เครื่อง
"เฉพาะกองกำลังป้องกันชายแดนเราเริ่มนำเครื่องมาใช้ตั้งแต่เดือนตุลาฯ ปี 51 มาถึงปัจจุบันมีผลงานที่เกิดขึ้น 118 ครั้ง เป็นอาวุธปืน 32 ครั้ง ยาเสพติด 86 ครั้ง" พ.อ.ฉัตรเฉลิม กล่าว
ขณะที่ตัวแทนกองทัพอากาศ กล่าวว่า ได้ทดสอบใช้เครื่องมือนี้นานกว่า 1 ปีครึ่งก่อนที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งในครั้งแรกสามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจหาอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุแล้วนำไปทิ้งไว้ในบึงน้ำ
ปัจจุบัน กองทัพทบ มีเครื่อง GT200 จำนวน 757 เครื่อง โดยมีการจัดซื้ออย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นายกรัฐมนตรี 59 เครือง ในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี 107 เครื่อง สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี 44 เครื่อง และในสมัยรัฐบาลปัจจุบัน 547 เครื่อง
อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันว่า การจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้ทุกเรื่องและหากพบการทุจริตก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย