นักวิชาการเชื่อ กกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.จะไม่พลิกล็อคถึงขั้นทำพรรคเพื่อไทยวืดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เหตุ กกต.ไม่กล้าหาญพอจะเอาตัวลงไปเล่นเกมการเมืองมากขนาดนั้น ชี้ทางเดียวคือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 เป็นโมฆะ การเมืองไทยจึงจะมีสิทธิพลิกขั้ว
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และกรรมการมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย(พีเน็ต) เชื่อว่า การประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในรอบแรกที่ยังไม่มีรายชื่อคนสำคัญทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดจนแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)นั้น จะไม่ส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองเกิดการพลิกผันจนถึงขั้นจะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
“ผมไม่เชื่อว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.ในจำนวนที่ทำให้ประชาธิปัตย์กลับมาเป็นฝ่ายนำ เพราะคงจะเป็นการกล้าหาญชาญชัยเกินไปถ้าจะสอย ส.ส.พรรคเพื่อไทยจนไม่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้" นายสมชัย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
พร้อมเห็นว่า น่าจะเป็นเพียงแค่การไม่ประกาศรับรองเบื้องต้นในกลุ่มแรก และทำให้ประชาชนเห็นว่า กกต.มีวิจารณญาณในการประกาศรับรองใครหรือไม่รับรองใคร ซึ่งไม่ใช่ว่าเลือกตั้งแล้วจะประกาศรับรองไปทั้งหมด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นภาพลักษณ์ของ กกต.จะดูไม่ดี แต่ท้ายสุดเชื่อว่า กกต.จะประกาศรับรองรายชื่อ ส.ส.ได้ไม่น้อยกว่า 95% จากจำนวน ส.ส.ในสภาฯ ทั้งหมด 500 คน จนทำให้สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ทันตามที่กฎหมายกำหนดคือภายในวันที่ 3 ส.ค.54
นายสมชัย มองว่า สถานการณ์ที่อาจจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดในการพลิกผันการเมืองจนทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ คือ ถ้ามีการร้องเรียนให้การเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.54 เป็นโมฆะ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
โดยประเด็นนี้มีความเป็นไปได้มากกว่าในการจะพลิกสถานการณ์การเมือง ด้วยการสะท้อนการจัดการเลือกตั้งของกกต.ที่ไม่สามารถทำให้เกิดความบริสุทธิ์เที่ยงธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่มีเรื่องร้องเรียนทุจริตจำนวนมาก แต่กกต.ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ เช่น การให้ใบแดงก่อนการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนในการกระทำผิด หรือความคลาดเคลื่อนของจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ที่มีความแตกต่างกันถึง 83,000 คน
"หากประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นสู่หน่วยงานที่ตัดสิน เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน หยิบเรื่องนี้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จนทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะได้ ก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ ทุกฝ่ายก็ต้องไปต่อสู้กันอีกที คุณอภิสิทธิ์ อาจเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ต่อ แนวทางนี้มีสิทธิเป็นไปได้มากกว่าที่ กกต.จะไปพลิกการประกาศผลรับรอง ส.ส.จนทำให้พรรคเพื่อไทยมีจำนวน ส.ส.น้อยกว่าประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่น่าเป็นได้" นายสมชัย กล่าวทั้งนี้เห็นว่าแค่เรื่องจำนวนบัตรคลาดเคลื่อนก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะใช้ร้องเรียนและเป็นเหตุผลให้นำไปสู่การเลือกตั้งอันเป็นโมฆะได้ ซึ่ง กกต.ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าดำเนินการจัดการเลือกตั้งอย่างไรให้บัตรเลือกตั้งลักลั่นกันอยู่ถึง 83,000 ใบ เพราะแม้ในมุมของเลขาธิการ กกต.จะออกมาชี้แจงแล้วว่าเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งได้บันทึกตัวเลขคลาดเคลื่อน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วรายชื่อต่างกันเพียงร้อยกว่าคน ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อการประกาศรับรองรายชื่อ ส.ส.ทั่วประเทศก็ตาม แต่นายสมชัย กลับมองว่า หากคะแนนที่หายไปกว่า 83,000 คะแนนนี้ ถ้าคะแนนที่หายไปดังกล่าวไปกระจายอยู่ในทุกเขตเลือกตั้งโดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่มีผลคะแนนสูสีกันระหว่างพรรคใหญ่ 2 พรรคนั้น ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการพลิกผันของผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตได้ทันที
"เขตที่คะแนนทิ้งกันไม่เกิน 3,000 คะแนน มี 51 เขต ส่วนเขตที่คะแนนทิ้งกันไม่เกิน 5,000 คะแนน มี 78 เขต ดังนั้นคะแนน 83,000 คะแนนที่เคยบอกว่าหายไปในช่วงแรกนั้น มันหายไปอยู่ไหน ถ้ากระจายหายไปตามเขตต่างๆ มันก็จะทำให้การเลือกตั้ง ส.ส.เปลี่ยนแปลงไปถึง 78 เขต" นายสมชัย กล่าวพร้อมมองว่า ขณะนี้ยังไม่มีกลไกการตรวจพิสูจน์ 83,000 คะแนนดังกล่าว ซึ่งจุดนี้สามารถตั้งเป็นข้อสงสัยที่มีต่อการจัดการเลือกตั้งของ กกต.ได้ และ กกต.ควรจะต้องรับผิดชอบ หากท้ายสุดการเลือกตั้งมีปัญหาจนส่งผลให้เกิดเป็นโมฆะ เพราะต้องใช้งบประมาณของประเทศในการจัดการเลือกตั้งต่อครั้งสูงถึง 4,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มเสื้อแดงจะยอมรับได้หรือไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหานั้นก็สุดแล้วแต่
"ในเรื่องการซื้อเสียงนั้น พรรคเพื่อไทยเองก็บอกว่ามีการซื้อเสียงเต็มไปหมด เขาก็มาร้องเรียนว่าซื้อเสียงรุนแรง ซึ่งภาพการเลือกตั้งที่มีปัญหานี้ เราจะยอมให้ผลการเลือกตั้งประกาศออกไปหรือเปล่า เป็นประเด็นที่ กกต.ต้องพิจารณา" นายสมชัย กล่าว