"ผมเสียใจที่ตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ที่มีเกียรติภูมิมาก กลับใช้เป็นที่รองรับและแก้ปัญหาทางการเมืองเพื่อให้ตำแหน่งนี้ กับคนที่ฝ่ายการเมืองต้องการเท่านั้น...การดำเนินการตั้งแต่ต้น ออกมาในท่วงทำนองที่ฝ่ายการเมืองบางท่านบางส่วนมีอคติ ลุแก่อำนาจ ท่วงทำนองเป็นไปอย่างเยาะเย้ย ถากถางต่อผม ซึ่งตรงนี้นายกฯ ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง แต่กลับไม่เคยออกมาปกป้องดูแลผม ทั้งที่ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา" นายถวิล กล่าว
พร้อมระบุว่าจะดำเนินการฟ้องร้องต่อ กพค.ให้เร็วที่สุด โดยมั่นใจว่าการฟ้องร้องในครั้งนี้จะได้รับความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองยังมีความยุติธรรมอยู่
เลขาธิการ สมช. กล่าวว่า การเปิดใจในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการเป็นแบบอย่างให้แก่ข้าราชการคนอื่น เพียงแต่เห็นว่าการยื่นฟ้องต่อ กพค.เพื่อต้องการรักษาเกียรติภูมิของตนเอง และเห็นว่าคงไม่ถูกต้องถ้าจะให้ฝ่ายข้าราชการประจำต้องเป็นฝ่ายทำใจยอมรับอย่างเดียวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องนั้นควรจะออกมาปกป้องสิทธิของตนเองด้วย
"ผมไม่ต้องการเป็นไอดอล ไม่มีความคิดที่จะเป็นแบบอย่างให้มีการต่อสู้ของข้าราชการประจำ เพียงแต่ต้องการจะรักษาเกียรติของผมเองและของข้าราชการให้ดีที่สุด แต่ถ้าจะมีอานิสงค์ถึงข้าราชการคนอื่น ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี" เลขาธิการ สมช.กล่าว
นายถวิล ยังชี้แจงต่อว่า รู้สึกเสียดายการทำงานที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการวางระบบงานให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพราะถ้ามีโอกาสได้ทำงานอีก 1-2 ปี ระบบงานที่วางไว้จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งตนรับราชการใน สมช.มานานกว่า 30 ปี และทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ตั้งใจมาโดยตลอด แต่สุดท้ายกลับถูกโยกย้ายด้วยเหตุผลที่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานหรือความรู้ความสามารถของตัวเอง
อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการจะเข้าไปนั่งตำแหน่งปลัดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เพราะไม่ต้องการไปเบียดตำแหน่งของผู้อื่น
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าตนทำงานใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์และทำงานอยู่ในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)นั้น ยืนยันว่า เป็นทำงานให้กับรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ทำงานให้กับหัวหน้าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแล้วต้องย้ายตนออกจากตำแหน่ง ตนก็คงถูกย้ายไปนานแล้ว เพราะที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง
เลขาธิการ สมช. กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกเสียดายกับตำแหน่งนี้ เพราะทราบดีว่าวันหนึ่งก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไป ส่วนที่ฝ่ายการเมืองกังวลว่าหากตนยังนั่งเป็นเลขาธิการ สมช.อยู่และต้องเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี อาจทำให้รู้ความลับในการประชุมครม.นั้น ยืนยันว่า ตนทำงานยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและทำงานเป็นมืออาชีพ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองแต่อย่างใด
โดยหลังจากนี้ คงต้องดูว่าตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ขึ้นตรงกับใครก็จะไปรับฟังแนวทางในการทำงานต่อไป และคงไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำแก่พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่จะเข้ามารับตำแหน่ง เลขาธิการ สมช.แทน เพราะถือว่าพล.ต.อ.วิเชียร มีความรู้ความสามารถและน่าจะเข้าใจงานเป็นอย่างดี