นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 13 มิ.ย.นั้น ส่วนตัวยังไม่เคยเจอกรณีเช่นนี้มาก่อน เพราะปกติคดีความจะมีโจทก์กับจำเลย แต่กรณีนี้ศาลใช้อำนาจในการไต่สวนเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีจะได้ทำให้กระจ่างชัดเจนว่าท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ฝ่ายคัดค้านมีความเห็นในทำนองว่านายทักษิณ ไม่ได้ป่วยจริง ขณะที่กรมราชทัณฑ์ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ต่างก็มีหลักฐาน เอกสาร มีการรับรอง ถือว่าเป็นไปตามระเบียบและกฎเกณฑ์ แต่ฝ่ายที่ค้านไม่ได้เชื่อตรงนี้ จนเกิดการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับเอกสารต่าง ๆ เช่น เวชระเบียน จะต้องถูกนำมาเปิดเผยในศาลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับศาลจะเรียกมาดูหรือไม่ เท่าที่ตนได้อ่านดู มีทั้งโจทก์และจำเลย เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมราชทัณฑ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งต้องให้เอกสารหลักฐานกับศาล แต่ความเข้าใจของประชาชนมีความรู้สึกว่าการมารักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่ใช่การถูกควบคุมตัว ซึ่งทราบกันดีว่า ระเบียบกรมราชทัณฑ์ การคุมตัวหรือการคุมขังเป็นคนละส่วนกับศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมมีหน้าที่ในการพิพากษา แต่การบริหารโทษหรือการจัดการ หรือการอภัยโทษมีระเบียบและกฎหมายอยู่ แต่มีการไปสื่อสารทำนองว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่การถูกควบคุม ซึ่งการอยู่ในโรงพยาบาลถือเป็นการถูกควบคุมหรือถูกคุมขังเช่นเดียวกัน
สำหรับเอกสารหลักฐานในคดีนี้ ตนคิดว่าความน่าเชื่อถือของแพทย์ กรมราชทัณฑ์ ที่ได้ดำเนินการเป็นไปตามความเห็นของผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง การส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ไม่ต้องไปขออนุญาตต่อศาล เพราะเป็นกฎระเบียบและอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งพ้นหน้าที่ของศาลแล้ว และหากผลของคดีนี้ออกมาในทางลบจะไม่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาล เพราะคนที่มีอำนาจเต็มคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี