ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับพิจารณาคำร้องของ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว และคณะ ยื่นให้วินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็น สว.ของ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร และคณะ เนื่องจากเป็นเพียงผู้มีรายชื่อเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (บัญชีสำรอง) ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่า สมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลง เพื่อให้ประธานแห่งสภาส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวได้
คดีนี้ พล.ต.ท.คำรบ และคณะ ร้องว่ากรณีที่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ และคณะ (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็น สว.จำนวน 92 คนที่เข้าชื่อยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวนและดำเนินการกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีเสนอเรื่องการขออนุมัติให้การดำเนินคดีความผิดฐานอั้งยี่ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเลือก สว.เป็นคดีพิเศษ และการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของคณะกรรมการคดีพิเศษ กับพวกรวม 11 คน กรณีสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นคดีพิเศษ อีกทั้งการเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมตรีและ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็น สว.กระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก้าวก่ายหรือแทรกแซง เพื่อประโยชน์ของตนเองในการปฏิบัติราชการหรือดำเนินการในหน้าที่ประจำของข้าราชการหรือของหน่วยงานราชการ