นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ยอมรับว่ารู้สึกกังวลกับเศรษฐกิจในขณะนี้ แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ ทุกคนก็คาดหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีการใช้จ่ายที่เติบโต โครงสร้างการผลิตเติบโต เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่แคบลง
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปจากที่รัฐบาลเคยวางเป้าหมายว่าจะผลักดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยโตเกิน 3% ขึ้นไป แต่วันนี้ต้องปรับลดลงมาเหลือเพียง 1.8% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะยังสามารถจัดเก็บรายได้ในปี 68 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และเชื่อว่าเงินคงคลังจะไม่ขาดดุลมากไปกว่าเดิม
นายพิชัย กล่าวว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทย หากย้อนหลังไปช่วงที่ GDP เติบโตได้ 6-10% เมื่อช่วง 30 ปีที่แล้ว จะพบว่าการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนสูงถึงประมาณ 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันการลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 20% แสดงให้เห็นว่า การลงทุนในไทยหายไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งมาจากการลงทุนภาคเอกชนหายไป ภาคธุรกิจ SME ลดลง ธุรกิจ Supply Chain หายไป มองไม่เห็นโอกาสในการส่งออกจึงไม่เกิดการจ้างงาน
อีกทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกมีมูลค่าเพิ่มน้อย โดยเฉพาะภาคการเกษตร ดังนั้น หากต้องการผลักดันเศรษฐกิจจะต้องมีการสร้างความพร้อมและแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำได้จากการใช้งบประมาณภาครัฐ และการสนับสนุนให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) มากขึ้น เพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุนมากขึ้น
"งบประมาณที่จัดปีนี้ มั่นใจว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่เราเริ่มรู้แล้วว่าสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้เปลี่ยนในระยะเวลาอันสั้น เราคงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ ให้โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาในประเทศมากขึ้น และเราจะต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง" นายพิชัย กล่าว
พร้อมกันนี้ รองนายกฯ และรมว.คลัง ยังชี้แจงถึงการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลถึง 8.5 แสนล้านบาทมาแล้วใน 2 ปีงบประมาณ หรือประมาณ 4% กว่าของ GDP แต่มีส่วนของงบคืนเงินต้นอยู่ด้วยที่ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าขาดดุลที่ 7 แสนล้านบาท หรือ ประมาณ 3% กว่า
"ทำไมยังต้องทำงบขาดดุล ผมคิดว่าไทยยังอยู่ในเอเชีย ยังเป็นเด็กที่ยังไม่โต อยู่ใน growth country (ประเทศที่กำลังเติบโต) เพราะฉะนั้นต้องสร้างงบแบบขาดดุลไปสักพักหนึ่ง เพราะอีกปัญหาหนึ่ง เราต้องเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ การขาดดุลยังจำเป็นอยู่ แต่เมื่อขาดดุล เราคำนึงถึงหนี้ต่อ GDP ให้อยู่ในระดับที่เรายอมรับได้" นายพิชัย กล่าว
รองนายกฯ และรมว.คลัง ยังชี้แจงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณก้อน 1.57 แสนล้านบาท โดยมองว่า ภาคการส่งออกน่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ดังนั้นแทนที่รัฐบาลจะใส่เงินไปยังผู้บริโภค จึงนำเงินไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อผลักดันการผลิตในประเทศมากขึ้น และยอมรับว่า การเตรียมความพร้อมในการทำงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ยังจำเป็นต้องทำ พร้อมกับฝากให้สส.ช่วยพิจารณางบปี 69 อย่างละเอียด และสามารถแปรญัตติ เพื่อนำงบไปแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้