นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ว่า งบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 0.7% ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ งบปี 69 จึงไม่ใช่เครื่องมือประคองในระยะสั้นเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการเร่งเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ เพราะปัจจุบันไทยได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศจากสงครามการค้าโลก
ทั้งนี้ เมื่อดูในเนื้อหางบประมาณ ยังคงจัดงบประมาณในรูปแบบเดิมอยู่ ซึ่งมีรายจ่ายประจำสูงถึง 70.2% ทำให้ไปเบียดบังงบลงทุนเหลือแค่ 22.9% ทำให้การพัฒนาเดินหน้าไปได้ยาก จึงเสนอให้จำกัดรายจ่ายประจำไว้ไม่เกิน 68-69% และขอให้กันงบลงทุนไว้ขั้นต่ำที่ 25% เพื่อใช้ในการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาทุนมนุษย์
นายธนกร มองภาพรวมของเศรษฐกิจว่ายังมีปัญหา โดยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันมีความเปราะบางเป็นอย่างมาก มีแรงต้านสูง ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้แถลงตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของปี 68 ว่าขยายตัวได้ 3.1% เพราะมีปัจจัยจากปริมาณการส่งออก และการลงทุนภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโต แต่ก็มีปัญหาเพราะขับเคลื่อนยากมาก ภาคอุตสาหกรรมหดตัว ภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีน หายไปกว่า 40% ดังนั้น จึงขอฝากรมว.ท่องเที่ยวและกีฬาว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร เพราะในช่วงโควิด-19 ระบาดนักท่องเที่ยวจีนหายไปแค่ 35% แต่วันนี้หนักกว่าช่วงโควิด-19 แล้ว
นายธนกร กล่าวว่า ประเทศมีปัญหาเชิงโครงสร้างสะสม และปัญหาแรงกดดันจากภายนอก ศักยภาพการเติบโตเหลือแค่ 3% เมื่อเทียบกับเวียดนามที่โต 6-7% แล้ว วันนี้เกิดความเปราะบางด้านสงครามการค้า โดยเฉพาะกำแพงภาษีของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ตนเคยเสนอว่าให้ใช้อดีตผู้นำซึ่งเป็นญาติของนายกฯ และใช้นักธุรกิจของไทยไปเจรจา ซึ่งมองว่า เรื่องการเจรจากับสหรัฐฯ รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว การส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 17.2% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณ 10% ของ GDP ซึ่งถ้าดำเนินการไม่ได้ ไทยจะเสียหายกว่าปีละ 3 แสนล้านบาท กระทบแรงงานกว่า 100,000 อัตรา เพราะฉะนั้น การที่รัฐบาลส่งทีมไปเจรจาก็ต้องทำควบคู่กันไป
นายธนกร กล่าวว่า โครงสร้างแรงงานของประเทศไทยยังไม่ตอบโจทย์ เพราะส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรมกว่า 60% ไม่มีความเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งต้องขับเคลื่อนในเรื่องนี้เพิ่มเติม
นอกจากนี้ สถานะทางการคลังของประเทศมีความเปราะบางเป็นอย่างมาก เพราะระดับหนี้สาธารณะของไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 64.4% แม้ว่าอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง แต่มองว่าระดับนี้ตึงตัวมาก
นายธนกร เสนอว่า การจัดทำงบประมาณ ต้องทำเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทย ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างมีเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องการเบิกจ่าย การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และโลจิสติกส์ ต้องสนับสนุนมาตรการชั่วคราวที่เคยพูดหลายครั้งเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ เรื่องการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และขอให้มีการทำโครงการ "คนละครึ่ง เวอร์ชันใหม่" ขึ้นมา หากปรับให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจวันนี้ เชื่อว่าจะช่วยเหลือประเทศได้
ส่วนการลงทุนระยะยาว จะต้องมีการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ จะต้องมีการจัดตั้งกองทุนเปลี่ยนผ่านประเทศ สนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมดิจิทัล และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และจะต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่เรื่องดิจิทัล 5G Big Data และการผลักดันภาษีใหม่ เช่น ภาษีคาร์บอน
"จัดงบปี 69 ไม่ใช่บริหารแค่ 1 ปี แต่ต้องมองในระยะยาว ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ เป็นการใช้จ่ายที่มีเป้าหมายชัดเจน สมดุล สร้างอนาคตใหม่ การสร้างวินัยทางการเงินการคลังที่ยั่งยืน วันนี้ก็ให้กำลังใจรัฐบาล เพราะปัญหาการเมืองก็มีหลากหลาย เป็นเวลาที่ต้องลดเรื่องการเมืองลง เอาบ้านเมืองเป็นหลัก เชื่อว่าจะสามารถเดินหน้าประเทศไปได้" นายธนกร กล่าว