พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในคำสั่งกำหนดอำนาจให้ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจในการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสามารถพิจารณากำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่จำเป็น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตามลำดับขั้นความเข้มงวดในแต่ละพื้นที่
โดยกองทัพบก กำหนดมาตรการควบคุมการเปิด-ปิดจุดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไว้ดังต่อไปนี้
ให้กองทัพภาคที่ 1 โดยผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา และกองทัพภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี มีอำนาจกำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสม ในการผ่านแดนบริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ
ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิบไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยและการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย ให้มีอำนาจกำหนดให้เปิดหรือปิดจุดผ่านแดนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทุกแห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ ตามที่เหมาะสมก็ได้
พล.ต. วินธัย ชี้แจงว่า การดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวมิได้เป็นการใช้มาตรการสูงสุดในทันที แต่เป็นแนวทางปฏิบัติแบบเป็นขั้นตอน โดยพิจารณาจากระดับความรุนแรงของสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ เน้นจากเบาไปหาหนักตามความเหมาะสม
โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:
ขั้นที่ 1 จำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่น ๆ โดยเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นักพนัน หรือกลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
ขั้นที่ 2 ปรับลดช่วงเวลาในการเปิด-ปิดจุดผ่านแดน พร้อมทั้งกำหนดวัน-เวลาการเข้า-ออกอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลและกิจกรรมในพื้นที่ชายแดน
ขั้นที่ 3 ปิดจุดผ่านแดนบางจุด (Selective Closure) โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีข้อมูลด้านความมั่นคงที่อาจนำไปสู่การรุกล้ำ หรือการก่อเหตุจากฝ่ายตรงข้าม
ขั้นที่ 4 ปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดนในกรณีที่เกิดสถานการณ์วิกฤต หรือมีการรุกรานอย่างชัดเจน เพื่อควบคุมสถานการณ์ในระดับสูงสุด
การดำเนินการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ซึ่งมอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยหลักในการควบคุมการเปิด-ปิด จุดผ่านแดนทุกประเภท เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามข้อกำหนดของกองทัพบกอย่างเคร่งครัด
สำหรับประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความมั่นคง เช่น นักศึกษาที่เดินทางไปเรียน ผู้ป่วย ฯลฯ อยู่ในข้อยกเว้นตามประกาศนี้ ซึ่งทางกองกำลังป้องกันชายแดนจะร่วมกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ พิจารณาให้สามารถเดินทางผ่านช่องทางได้
การออกมาตรการดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายกัมพูชารุกล้ำชายแดนไทยหลายครั้ง พร้อมแสดงท่าทียั่วยุอย่างเปิดเผย แม้ไทยจะใช้สันติวิธีและพยายามเจรจา แต่กัมพูชายังเสริมกำลังและจัดตั้งฐานทหารใกล้ชายแดน แสดงถึงความไม่ร่วมมือและเป็นภัยต่ออธิปไตยและความมั่นคงของไทย ทำให้ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาผลประโยชน์และความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามแนวชายแดน
นาวาเอกนพโรจน์ สิริปริยพงศ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ได้ลงนามในคำสั่งถึงผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี ขอระงับนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวกัมพูชา เดินทางผ่านเข้า - ออก ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม และบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี เป็นการชั่วคราว เนื่องจากปัจจุบันมีสถานการณ์ อันเป็นภัยคุกคามจากประเทศกัมพูชา และอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และประชาชนชาวกัมพูชา ยกเว้นแรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยให้การค้าขายระหว่างประเทศเป็นไปตามปกติ
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า การดำเนินการของไทยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยคำนึงและระมัดระวังไม่ให้มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศที่อาศัยในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งด้านมนุษยธรรม
ฝ่ายไทยขอเรียกร้องอีกครั้งให้ฝ่ายกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามโดยไม่จำเป็นซึ่งจะส่งผลเสียต่อประชาชทั้ง 2 ฝ่ายตามแนวชายแดน
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมใช้กลไกทวิภาคี โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ รวมถึงกลไกิวิภาคีอื่น ๆ ที่มีอยู่ เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติบนพื้นฐานของความเรพและความจริงใจต่อกัน เพื่อให้ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับสู่ความสงบสุข