
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงขออภัยประชาชนที่เกิดความไม่สบายใจจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เพราะไม่ทราบว่าจะถูกบันทึกคลิปไว้ ซึ่งกระทรวงต่างประเทศได้ทำหนังสือประท้วงการกระทำของฝ่ายกัมพูชาไปแล้ว และ นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า จากนี้จะระมัดระวังการพูดคุยกับทางฝ่ายกัมพูชามากขึ้น
รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบไปมา ที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งถือเป็นวิธีปฏิบัติหนึ่ง ที่ผู้นำประเทศโดยทั่วไปใช้แก้ไขปัญหาระหว่างรัฐบาล และเลือกใช้ถ้อยคำที่มุ่งโน้มน้าวให้กัมพูชาร่วมมือลดระดับการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสำคัญประการเดียว คือ ปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของชาติ

เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความจริงใจ และไม่มีความเคารพซึ่งกันและกันในการร่วมมือแก้ไขปัญหา รัฐบาลไทยจึงได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมรับมือต่อภัยคุกคามของชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประชุมหารือและประสานการปฏิบัติกับผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเป็นเอกภาพ
น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ขณะที่พูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 และทางกองทัพแล้ว ซึ่งมีความเข้าใจกันดี รัฐบาลและกองทัพพร้อมผนึกกำลังสู้กับภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยย้ำว่าจะใช้แนวทางสันติวิธี เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไทยในกัมพูชาและประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน
"ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ตัวดิฉันได้คุยแม่ทัพภาพที่ 2 และทางกองทัพอธิบายถึงเจตนาว่า เป็นแทคติกของการสื่อสารที่จะเจรจาต่อไปว่า เราต้องแสดงความเข้าใจเขาก่อนถึงจะมีการคุยในดีเทลต่อ ๆไป เป็นการต่อรองเพื่อให้การปะทะหยุดลง นั่นคือ ความตั้งใจที่แท้จริงที่ต้องการให้สถานการณ์สงบสุข และไม่ทราบจริงๆ จะมีการอัดคลิปและเผยแพร่แบบนี้ ก็ได้ทำความเข้าใจกองทัพเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางกองทัพก็รับฟัง" น.ส.แพทองธาร กล่าว
พร้อมระบุว่า วันนี้เราต้องร่วมมือกันเพื่อผนึกกำลังเอาไว้ และคนไทยก็ต้องผนึกกำลังเช่นกัน เพราะทุกภาคส่วนได้สรุปแล้วว่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
"นี่ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ของประชาชน หรือจะมาพูดถึงเรื่องว่า รัฐบาลกับกองทัพต้องมาสู้กัน วันนี้เราไม่มีเวลาทะเลาะกันเองแบบนี้ เราต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ และนี้คือสิ่งที่เห็นตรงกัน และรัฐบาลยินดีซัพพอร์ตกองทัพทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสนับสนุนใด ๆ ก็ตามที่ทางกองทัพต้องการ อันนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจจะทำร่วมกัน" น.ส.แพทองธาร กล่าว
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลจะทำหรือตัดสินใจอะไรในมิติต่าง ๆ ต้องคำนึงถึงคนไทยที่อยู่กัมพูชาและคนไทยตามแนวชายแดนด้วย ต้องให้ความปลอดภัยกับประชาชนด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า กระทรวงต่างประเทศ ได้เชิญเอกอัคราชทูตของกัมพูชาประจำประเทศไทย มาเพื่อยื่นหนังสือประท้วง แสดงความผิดหวังต่อผู้นำกัมพูชา ซึ่งจริง ๆ ทั่วโลกไม่มีใครทำแบบนี้ (บันทึกเสียง) ที่ผู้นำคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่ที่มีการตกลงกัน หรือพูดคุยเจรจาใด ๆ และหากตนจะโทรไปแสดงความยินดีกับประเทศต่าง ๆ ก็จะเป็นการติดต่อทางกระทรวงการต่างประเทศ และรับทราบร่วมกันว่า จะมีการบันทึกเสียง แต่ครั้งนี้เป็นการพูดคุยส่วนตัว โดยโทรศัพท์ส่วนตัว เพราะฉะนั้นการกระทำแบบนี้ ไม่ควรเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก
"รัฐบาลไทยกับกองทัพ ขอแสดงความรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยที่เรากำลังดูแลร่วมกัน และขอยืนยันอีกครั้งว่ารัฐบาลและกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็อยากให้ประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับเราด้วย เพื่อความสามัคคีในชาติ ปกป้องอธิปไตยของเราไว้ เวลานี้ที่เคยบอกไว้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง สิ่งที่เกิดขึ้นดิฉันต้องขออภัย ไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีการอัดคลิปเกิดขึ้น และต่อจากนี้จะระวังในเรื่องของการพูดคุยให้มากขึ้น และแน่นอนว่า เรามั่นใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเรารวมกันเป็นหนึ่งและสามัคคีกัน จะผ่านพ้นวิกฤตินี้ร่วมกันไปอย่างแข็งแรงได้" น.ส.แพทองธาร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรีมีน้ำตาคลอ และไม่ได้เปิดโอกาสให้สื่อได้ซักถามเพิ่มเติม