
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ฝ่ายเศรษฐกิจ พร้อมทีมผู้บริหาร แถลงผลกระทบภาษี "ทรัมป์" ว่า ในส่วนการนำเข้าสินค้าที่มีราว 11,000 รายการได้กำหนดอัตราภาษีไว้ 0% ตรงส่วนนี้ครอบคลุมไปถึงสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรของไทยด้วย
"ราคาข้าวโพดที่ปลูกในไทยเทียบกับราคาข้าวโพดสหรัฐฯ ที่รวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย พบว่า ราคาข้าวโพดไทยเท่ากับ 1.5 เท่าของราคาข้าวโพดสหรัฐฯ นำส่งถึงไทย หรือราคาเนื้อหมูไทยเมื่อเทียบราคาหมูสหรัฐฯ ที่รวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย พบว่า ราคาเนื้อหมูไทยยังแพงกว่า 1 ใน 3 เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างแน่นอน" นายธีระชัย กล่าวทั้งนี้ เมื่อได้การชี้แจงจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังว่า กระบวนการที่จะคุ้มครองเกษตรกรไทยจะใช้ระบบโควตา โดยการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะให้โควตาเฉพาะในส่วนที่ไทยใช้ แต่เราไม่สามารถปลูกได้พอเพียง ส่วนเรื่องเนื้อหมูจะให้โควตา 1-2% ของปริมาณหมูที่มีการบริโภคในประเทศเท่านั้น
"โควตาที่รัฐมนตรีคลังพูดถึงเหล่านี้เป็นโควตาในฝัน อยู่ในใจรัฐมนตรีคลัง หรือเป็นโควตาที่ได้เจรจาและได้ข้อตกลงจากทีมเจรจาของทรัมป์เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจะต้องนำข้อมูลเสนอและอธิบายให้ประชาชนรับทราบว่า การเจรจายังไม่จบ วิธีที่จะปกป้องคุ้มครองเกษตรกรภายในประเทศโดยระบบโควตายังไม่ได้คุยกับสหรัฐฯ เขายังไม่พออกพอใจและแสดงความยอมรับอย่างเป็นทางการเลย" นายธีระชัย กล่าวนายธีระชัย กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 บัญญัติให้รัฐบาลต้องนำเสนอเรื่องนี้ขอความเห็นจากรัฐสภาภายใน 60 วัน แต่ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีการเสนอรายละเอียดใด ๆ มาเสนอให้สภาฯ รับทราบ และรัฐบาลต้องนำเสนอมาตรการที่จะช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและภาคเอกชนปรับตัวมาให้สภาฯ ได้พิจารณาด้วย
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ หากไทยมีการเจรจาในรายละเอียดได้แค่ไหนก็ควรนำเสนอต่อสภาฯ ไม่ควรรอทีเดียวทั้งหมด เพราะจะให้สภาฯ ช่วยกันพิจารณาและเสนอข้อควรระวังต่อรัฐบาลได้ และขณะนี้ต้องมีการปรับตัวใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศ 2 เรื่อง คือ
1.เรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรในอัตราภาษี 0% จะต้องนำเข้าโดยเสรี หรือจะมีโควตา และหากโควตาไม่พอที่จะปกป้องคุ้มครองเกษตรกรไทย รัฐบาลจะมีงบประมาณเข้าไปดูแลเกษตรกรอย่างไร
2.ข้อขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อเรื่องแรงงานกัมพูชาและการค้าตามแนวชายแดน จึงอยากเสนอให้รัฐบาลนำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหลายโครงการยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเหลืองบประมาณอีกเพียง 25,000 ล้านบาท ที่จะใช้ดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์และดูแลผลกระทบทางการค้าจากปัญหาไทย-กัมพูชา
"ผมอยากเสนอแนะให้รัฐบาลกลับไปทบทวนโครงการที่อนุมัติไปแล้ว และไม่เร่งด่วนจริง ผมว่าควรจะรอไว้ก่อน และควรนำเงินเหล่านี้มาใช้เรื่องที่เร่งด่วนมากกว่า สรุปแล้วเปลี่ยนงบจากกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นงบพยุงเศรษฐกิจ เพราะไม่อย่างนั้น การฟื้นตัวของเราอาจจะกลายเป็นเข่าอ่อน ไม่มีใครพยุง" นายธีระชัย กล่าวโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ย้ำว่าอย่านำเรื่องความมั่นคงเข้าไปแลกในการเจรจาการค้าเด็ดขาด เพราะหากทำเช่นนั้นจะเกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ ตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลออกมายืนยัน ข้อยุติในการเจรจาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการนำเรื่องความมั่นคงมาแลกเปลี่ยน