
นายปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ มองภาพสถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย - กัมพูชาที่ทั้ง 2 ชาติมีข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ถือว่า เราได้ "สันติภาพบนแผ่นกระดาษ" และถือว่า การประชุม GBC เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการเผชิญหน้ากัน ไม่มีความขัดแย้งหรือโต้ตอบกันหลังจากประชุมเสร็จเรียบร้อย
พร้อมย้ำว่า ยังเป็นสันติภาพที่ไม่ยั่งยืน เพราะเป็นสันติภาพบนโต๊ะเจรจา ยังไม่ใช่สันติภาพที่แท้จริงในพื้นที่ และยังต้องมีกลไกบังคับให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง สิ่งสำคัญต้องดูว่าข้อตกลงในเรื่องเขตแดนจะเป็นอย่างไร หากทำได้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และยังไม่แน่ใจว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา หรือ JBC ในเดือนกันยายนจะตกลงกันได้หรือไม่
"ในระยะสั้น สันติภาพบนแผ่นกระดาษ สันติภาพบนโต๊ะเจรจาหยุดยิงชั่วคราวได้" นายปณิธาน กล่าวนายปณิธาน กล่าวต่อว่า การหยุดยิงชั่วคราวได้ต้องทำตามข้อตกลงรอบแรกและรอบนี้ แต่ต้องชัดเจนขึ้นใน 2 สัปดาห์ในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งตอนนี้เรารับหลักการและข้อเสนอในรายละเอียดทั่วไป แต่ยังไม่เฉพาะเจาะจง และเมื่อเข้าสู่ที่ประชุม RBC ก็ต้องมีข้อตกลงว่า ต้องไม่มีการเคลื่อนกำลัง
ส่วนข้อตกลงที่ให้มีการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซียเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งต้องมีความเป็นกลาง ทำงานได้จริง และต้องอยู่ในพื้นที่เพื่อคุมไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากันอีก และยังไม่ชัดเจนว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะอาจจะมีปัญหาในพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาท อาจจะยังเข้าพื้นที่ไม่ได้ จึงอาจทำงานไม่ได้ดีนัก
นายปณิธาน ยังระบุว่า การเข้าไปในพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ เพื่อบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น ต้องกำหนดให้ชัดว่า ผู้สังเกตการณ์จะเข้าไปอยู่ตรงไหน และอยู่นานเท่าไร เพราะหากไม่อยู่ตรงนั้นอาจจะเผชิญหน้ากันอีก เช่น ถึงขั้นต้องเข้าไปที่ปราสาทตาควายหรือไม่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นรายละเอียดลึก ๆ ในการปฏิบัติที่จะส่งให้สันติภาพบนแผ่นกระดาษสำเร็จหรือไม่ และในความเป็นจริง ยังมีความหวาดระแวง พื้นที่เข้าได้ยาก และมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายในอาเซียน ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แก้ปัญหา แต่หากสามารถทำได้ก็จะเกิดความราบรื่นในการเจรจาระดับ RBC
"ด้วยแรงกดดันจากมหาอำนาจ จากอาเซียน และประชาชนทั้งสองฝั่งที่ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียมากไปกว่านี้ ก็ทำให้ทั้งสองประเทศเข้ามาในกรอบการพูดคุย" นายปณิธาณ กล่าวนักวิชาการด้านความมั่นคง มองว่า แม้จะเข้าสู่กรอบการเจรจา แต่ยังต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ เป็นปัจจัยสำคัญ เช่น ปัจจัยการเมืองของแต่ละประเทศ บทบาทผู้นำของแต่ละส่วนทั้งทางการเมือง และทหาร และขณะนี้ปัญหาไทย-กัมพูชา ถือเป็นสงครามลูกผสมที่มีภาคประชาชนเข้าไปร่วมทำสงคราม IO จนส่งผลกระทบต่อประชาชนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายปณิธาน ยอมรับว่า หากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนและกำหนดเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา (JBC) ที่จะมีหารือเรื่องปักปันเขตแดนไม่มีผลสำเร็จ สถานการณ์ภาพรวมก็คงเป็นแบบปัจจุบัน
"เหมือนโรคเรื้อรังที่เราต้องอยู่กับมันไป แต่มันก็ไม่ดี รอวันปะทุอีก เพราะฉะนั้นต้องหาทางแก้ปัญหาให้ดีขึ้น" นายปณิธาน กล่าวพร้อมกับมองว่า ใน JBC ยังมีอุปสรรคในเรื่องความชัดเจนในเรื่องของแผนที่ ที่ฝ่ายกัมพูชาขอให้ฝ่ายไทยร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชาในการนำข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
"ดูแนวโน้มแล้วกัมพูชาจะเสียมากกว่าได้ ถ้ายืนแบบเดิม เพราะ 1 ใน 3 ที่เหลืออยู่ พวกปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ ในเชิงการเมือง ในเชิงผู้นำ ถ้าเสียไป ลูกชายเขาคงปกครองประเทศลำบาก จึงต้องเจรจาว่าจะเดินหน้าด้วยแผนที่อะไร" นายปณิธาน กล่าวอย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถเจรจาพื้นที่ทางบกได้ จะนำไปสู่การเจรจาทางทะเล ซึ่งทางกัมพูชาก็มองว่าเสียเปรียบอีก เพราะทางทะเลมีขุมทรัพย์มหาศาล ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งหากกัมพูชาเสียทั้งทางบกและทางทะเล ก็ยืนอยู่ไม่ได้
นายปณิธาน มองว่า หากไทยจะไปเจรจาใน JBC ก็ต้องมีข้อเสนอใหม่ ว่าเราจะยกเลิก MOU 43 หรือ MOU 44 ได้หรือไม่ ซึ่งหากยกเลิกก็จะเกิดสุญญากาศทันที สิ่งที่เคยตกลงกับกัมพูชาก็จะหลุดไปหมด แต่ถ้าไม่ยกเลิก กัมพูชาก็จะใช้เงื่อนไขตรงนี้ไปสู่ศาลโลก เพราะฉะนั้น ไทยอาจจะเสนอขอแก้ หรือขอเพิ่มแนบท้าย หรือร่าง MOU68 หรือ MOU69 ไว้แล้วเสียบแทน เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องเป็นการตัดสินใจจากผู้นำไทย และมองว่า ผู้นำไทยคงตัดสินใจไม่ได้แน่นอน