นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระ 2 และ 3 ภายหลังจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาแล้วเสร็จ ว่า สิ่งที่รัฐบาลเตรียมมาเป็นสิ่งที่รัฐบาลคิดไม่รอบ และไม่ลึก เพราะขาดความรอบคอบ การที่กรรมาธิการปรับลดงบประมาณ 8.9 พันล้านบาท แต่รัฐบาลกับแปรญัตติให้มีงบประมาณในรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการ ประกันสุขภาพ ซึ่งงบส่วนนี้เป็นรายจ่ายประจำที่ต้องตั้งงบประมาณให้เต็มสัดส่วนอยู่แล้วตั้งแต่วาระ 1 แต่กลายเป็นว่าตั้งขาด พอมีการปรับลดงบประมาณ ก็แปรญัตติส่วนนี้กลับเข้ามา
"ส่วนที่บอกว่าคิดไม่ลึก เพราะคิดตื้น ๆ ในส่วนงบลงทุน 8.9 พันล้านบาท ที่กรรมาธิการได้ตัดลด 1 ใน 3 เป็นงบลงทุนในที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง กลายเป็นว่างบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่จะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศ กลับถูกนำไปใช้สร้างตึก ตัดถนน ขุดคลอง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เห็นว่า ตอนที่รัฐบาลเสนองบประมาณเข้ามา เป็นการคิดจัดสรรงบประมาณที่ไม่รอบคอบ ยังคิดไม่ลึกเพียงพอ" นายณัฐพงษ์ กล่าวผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ยังชื่นชมรัฐบาลตอนที่แปรญัตติกลับเข้ามา ไม่ได้นำงบประมาณไปกองไว้ที่งบกลางทั้งหมด แต่งบกลางก็มีความจำเป็นไปใช้ในกรณีที่เร่งด่วน มีการแปรญัตติกลับเข้าไปในกองทุนประกันสังคม หรือเติมในรถไฟสายสีส้ม ซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่ได้เห็นต่าง
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการตัดงบในหลายกระทรวงสำคัญ เพื่อนำไปเพื่อนำไปจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายจังหวัด เหมือนมีนัยสำคัญเพราะใกล้กับการเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ขัดข้องอะไร ที่จะแปรญัตติเติมเข้าไปให้ อปท. เช่น ภารกิจถ่ายโอนมีการประหยัดเอาไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต่าง ๆ ซึ่งถ้าเป็นการแปรญัตติอย่างตรงไปตรงมา ตามภารกิจของท้องถิ่นก็ไม่ติดใจอะไร แต่ถ้ามีในเรื่องของการประสานงานเบื้องหลัง อยู่ใกล้เลือกตั้งหรือไม่ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ได้อยากเห็น และไม่อยากให้กระบวนการพิจารณางบประมาณได้ประโยชน์ต่างตอบแทน เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองแบบนั้น
สำหรับเรื่องการซื้ออาวุธต่าง ๆ ของกองทัพ นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า อยากให้กองทัพทันสมัย ทำหน้าที่ในการปกป้องประเทศ ไม่ใช่ปกครองประเทศ และในเรื่องของยุทโธปกรณ์ ก็พิจารณาไปเป็นรายกรณี
"อะไรที่มีความจำเป็นต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ก็สามารถที่จะพิจารณาได้ อะไรที่มีความจำเป็นก็พิจารณาผ่านได้ อะไรที่ไม่มีความจำเป็นในการป้องกันประเทศ ก็ต้องยืนยันว่าไม่มีความจำเป็น" หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ
ส่วนการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการฯ พบร่องรอยการทุจริตบ้างหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีสิ่งที่น่าสงสัยเต็มไปหมด ถ้าสังเกตการณ์พิจารณางบประมาณที่ผ่านมา อย่างการขอให้ถ่ายทอดสด ซึ่งทำได้ทันทีไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่กลายเป็นว่ากรรมาธิการเสียงข้างมาก ไม่ได้ยอมให้มีการถ่ายทอดสด รวมถึงการประชุมในชั้นอนุกรรมาธิการฯ ที่ภาคประชาชน หรือแม้แต่ สส.ไม่ได้เข้าไปนั่งในอนุกรรมาธิการฯ ทำให้ไม่ได้เห็นข้อมูลอย่างรอบด้าน
"ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุดให้กับรัฐบาล เพื่อทลายข้อครหาต่าง ๆ ที่วันนี้รัฐบาลขาดความไว้วางใจจากประชาชน คือทำอย่างไร ให้การพิจารณางบประมาณมีความโปร่งใสมากที่สุด ซึ่งกระบวนการปัจจุบัน ขาดความโปร่งใสอยู่ค่อนข้างมาก" นายณัฐพงษ์ กล่าวนายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงการจัดสรรคนที่จะอภิปรายงบประมาณในวาระ 2 ว่าได้เตรียมผู้อภิปรายไว้มาก รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง คิดว่าช่วงเวลา 3 วัน ก็จะใช้เวลาอย่างเต็มที่ และหลังจากงบประมาณผ่านสภาฯ ไปแล้ว ฝ่ายค้านก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างเต็มที่ต่อไป
ส่วนความกังวลเรื่องสภาฯ จะล่มหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ เชื่อว่ารัฐบาลต้องเตรียม สส.ฝั่งตัวเองให้ครบองค์ประชุม ไม่ควรหวังพึ่งองค์ประชุมจากฝ่ายค้าน เพราะถ้างบประมาณไม่สามารถผ่านสภาฯ ได้ ก็ไม่เห็นช่องทางว่ารัฐบาลจะบริหารประเทศได้อย่างไร
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน และกรรมาธิการพิจารณางบประมาณฯ ปี 69 กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะแปรงบประมาณไปช่วยเหลือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ว่า มีกรรมาธิการหลายคนเสนอให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจงว่าหลังจากที่ได้ข้อสรุปภาษีสหรัฐฯ แล้วจะมีการปรับตัว หรือมีการเตรียมงบประมาณอย่างไร เพราะอยากทราบเม็ดเงินที่ต้องใช้ เพื่อที่จะเร่งรัดในการปรับลดงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนนั้น
แต่สุดท้าย นายพิชัย ในฐานะประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายปี 69 ไม่ได้เดินทางมาชี้แจงในห้องพิจารณา สุดท้ายก็ไม่ได้มีการตัดลดงบประมาณ โดยสามารถปรับได้แค่ราว 9,000 ล้านบาท และไม่ได้นำไปใส่ในส่วนที่ควรจะนำไปบรรจุไว้ เพื่อรับมือสงครามการค้า
"ดังนั้น จึงเดาได้เพียงอย่างเดียวว่า รัฐบาลมีแผนสำรองไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะค่อนข้างจะตีบตันไปในทุกหนทาง สำหรับนโยบายการคลัง พื้นที่การคลังก็ไม่เหลือแล้ว ซึ่งอาจจะมีแผนอื่นสำรองเอาไว้ โดยต้องรอติดตามว่า รัฐบาลจะรับมือกับสงครามการค้าที่จะหนักหน่วงมากขึ้นในปี 2569 อย่างไร เพราะปี 2568 เหลืออีกเพียงแค่ 2 เดือนก็จะหมดปีงบประมาณแล้ว และทางออกเดียวที่เห็นตอนนี้ คือการออก พ.ร.บ.เงินกู้ รวมถึงขยายเพดานหนี้สาธารณะ ให้เพิ่มจากที่ตั้งไว้ 70% ไม่เช่นนั้นจะไม่มีงบประมาณใด ๆ รองรับไว้เลย " น.ส.ศิริกัญญา กล่าว