ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระ 2-3 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เริ่มพิจารณาที่มาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในกำกับ
นายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก สส.ลำพูน พรรคประชาชน ได้อภิปรายในส่วนขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ว่า มี 2 โครงการที่ไม่ตอบโจทย์คนไทยทั้งประเทศ และเสี่ยงต่อการใช้เงินภาษีอย่างไม่คุ้มค่า เสี่ยงต่อการล้มเหลวของโครงการ ได้แก่ โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา และโครงการล้งแห่งชาติ
ในส่วนโครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ปีงบ 69 อ.ต.ก. ของบทั้งหมด 84,623,500 บาท เพื่อสนับสนุนการตลาดให้กับเกษตรกร แต่มีจำนวน 41,321,500 บาท ถูกเทไปในพื้นที่เดียวคือ จ.พะเยา ภาพรวมของโครงการนี้ ถ้าแล้วเสร็จจะใช้งบประมาณสูงถึง 168,169,000 บาท
นายวิทวิสิทธิ์ ระบุว่า เมื่อดูมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรของจ.พะเยา ไปยังประเทศลาว ต่ำกว่า จ.เชียงราย และน่าน มากกว่า 3 เท่า และสินค้าเกษตรหลักที่ประเทศลาวนำเข้าจากประเทศไทย ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวเปลือก ผลไม้สด จ.พะเยา มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 8% เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนของภาคเหนือ และระบบโลจิสติกส์ก็อยู่ที่ จ.เชียงราย และน่าน ไม่ใช่ที่ จ.พะเยา และระยะทางจากพะเยาไปชายแดนไกลกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า ดังนั้นขอถามว่า ภาคเหนือตอนบนมีถึง 8 จังหวัด แต่ทำไมกลับทุ่มงบประมาณหลายล้านบาท ไปที่จังหวัดเดียว
ส่วนโครงการล้งแห่งชาติ อ.ต.ก. ตั้งงบฯ 11,612,000 บาท เพื่อศึกษาต้นแบบการสร้างล้งแห่งชาติ โดยให้ อ.ต.ก. ทำหน้าที่เป็นเอกชน ซึ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ารัฐวิสาหกิจมีขั้นตอนการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีทักษะเชิงพาณิชย์ ทำให้ขายสินค้าไม่ได้มูลค่าเต็มจำนวน และโครงการก็ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก ถ้าถูกตัดงบฯ โครงการนี้ก็จะหยุดชะงักทันที จะเห็นได้ว่าโครงการล้งแห่งชาติ คือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เสี่ยงต่อการกระจุกงบประมาณ การผูกขาด และการล้มเหลวงของโครงการ
"จึงขอให้ตัดลดงบประมาณ 2 โครงการนี้ทันที และให้รัฐบาลนำเงินไปสร้างโครงการที่ครอบคลุมตรงจุด และตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่โครงการที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้"ขณะที่นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้อภิปรายในส่วนงบประมาณของกรมชลประทาน วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบก้อนใหญ่ที่สุด คนทั้งประเทศอยากเห็นการแก้ปัญหาภาพรวมเรื่องน้ำ รวมถึงแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซาก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหลายพื้นที่จะเข้าสู่ช่วงน้ำท่วม จึงอยากตั้งคำถามว่า การจัดสรรงบประมาณส่วนนี้มีแผนการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ งบประมาณกรมการข้าว วงเงิน 3.8 พันล้านบาท เงินก้อนใหญ่อยู่ที่แผนยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า 3.3 พันล้านบาท เป็นโครงการพัฒนาพันธุ์ข้าวเกือบ 2 พันล้านบาท และโครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว เกือบ 1.7 พันล้านบาท ตนจะไม่แปลกใจถ้าเป้าหมายเพื่อช่วยเกษตรกรในการลดทุน แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดของงบประมาณ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นงบครุภัณฑ์ที่ดินสิ่งปลูกสร้าง เหลือเนื้องานจริง ๆ ที่จะทำเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่กี่ร้อยล้านบาท ตนอยากเห็นเงินส่วนนี้ลงไปถึงชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เกิดการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้มากกว่านี้