
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 1% ว่า คงเป็นการประเมินโดยใช้ข้อมูลในช่วงก่อนมีข้อสรุปเรื่องอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากสถานการณ์ดังกล่าวชัดเจนขึ้นแล้ว จะเห็นว่าหลายสำนักต่างปรับประมาณการ GDP ของไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2% กว่าเกือบทั้งหมด แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในภาคปฏิบัติของอัตราภาษี 19% ก็ตาม
"ดังนั้นเชื่อว่าหากไทยสามารถทำตรงนี้ ออกมาได้ดี ไม่มีอะไรสะดุด ก็ยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะสามารถผลักดันให้ GDP ปี 68 ขยายตัวได้ถึง 2.5%" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าว
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้นั้น นายพิชัย อยากให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดได้กับทุกประเทศ บางคนอาจเห็นว่าเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งในกรณีของไทยสิ่งเหล่าเกิดขึ้นบ่อย จนคนทั่วไปรับรู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และในที่สุดสถานการณ์จะสามารถคลี่คลายลงได้ ดังนั้นจึงมองว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นแต่อย่างใด แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงบ้าง เพราะรอดูความชัดเจนของสถานการณ์
สำหรับผลกระทบต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศนั้น รองนายกฯ และรมว.คลัง ยืนยันว่าข้อมูลของประเทศตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ขณะนี้เชื่อว่าทุกส่วนของรอดูว่าสถานการณ์จะจบอย่างไร และที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็จะเดาได้ว่าจะจบแบบไหน ดังนั้นเรื่องเสถียรภาพของไทย จึงมีลักษณะที่ไม่เหมือนประเทศอื่น
"ผมยังไม่ทราบว่าสถานการณ์ต่อจากวันนี้ จะเป็นอย่างไร แต่ ณ วันนี้ ผมยังยืนยันว่ายังปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่สมมติว่าท้ายที่สุดมีการยุบสภา รัฐบาลก็ยังจะเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ จนกว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่จะแล้วเสร็จ ดังนั้นเรื่องอะไร หรือนโยบายอะไรก็ตาม ที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อประเทศ สามารถลดความเสียเปรียบของประเทศไทย ก็ควรจะต้องดำเนินต่อไป โดยหลักการ คือ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำ อะไรไม่เร่งด่วนหรือเป็นเรื่องระดับนโยบายที่ต้องรอ ถ้ารอได้ ก็ต้องรอไปก่อน" นายพิชัย กล่าวส่วนของความเชื่อมั่นของนักลงทุนนั้น ยืนยันว่า ขณะนี้ไม่ได้มีปัญหา เพราะการจะตัดสินใจเข้ามาลงทุน ไม่ได้ใช้เวลาพิจารณาแค่เดือนเดียว แต่ใช้เวลาตัดสินใจเป็นปีกว่าจะสรุปว่าเมืองไทยมีความเหมาะสม และสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ก็ไม่ได้เกิดแค่กับไทย แต่ทุกประเทศก็มีปัญหาเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้น ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เลือกแล้วที่จะลงทุนในไทย แม้ท้ายที่สุด จะมีการเปลี่ยนแปลงในประเทศเกิดขึ้น ส่วนตัวก็ยังเชื่อว่านักลงทุนจะยังไม่เปลี่ยนใจ
"ยังไม่มีสัญญาการชะลอการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ที่ผ่านมา ทุกคนยังเงียบอยู่ ยังไม่มีใครบ่น หรือถามอะไร ก็แปลว่าน่าจะยังพอใจอยู่ ส่วนกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์นั้น มองว่า ในระยะต่อไปหากยังเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็เชื่อว่าจะมีการสานต่อแน่นอน" นายพิชัย กล่าวด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงโครงการหวยเกษียณ และโครงการสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ว่า หลังจากนี้คงต้องรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในประเทศก่อน โดยเชื่อว่าหากทุกอย่างชัดเจน ก็จะเห็นว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไร ดังนั้นตอนนี้อยากให้รอความชัดเจนทั้งหมดก่อน