ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติเอกฉันท์ 155 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งต้องมีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่ร่าง พ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้
การประชุมวุฒิสภา โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยก่อนเริ่มพิจารณา นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) คมนาคม นำเสนอรายงานผลการศึกษาตอนหนึ่งว่า หลักการสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มี 5 ประการ คือ
1. จัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการทุกหน่วย นำไปให้ประชาชนใช้บริการได้ด้วยบัตรเดินทางใบเดียว
2. ให้อำนาจ รมว.คมนาคม เพื่อออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม
3. จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
4. การกำหนดสิทธิของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตขอรับการสนับสนุนจากกองทุน
5.ในกรณีจำเป็นเพื่อรักษาการให้บริการหรือประโยชน์ระบบตั๋วร่วม หรือป้องกันความเสียหายต่อสาธารณชน ให้ตราพระราชกฤษฎีกา โดยต้องเจรจาและทำความตกลงร่วมกับผู้ประกอบกิจการขนส่งสาธารณะที่จะถูกบังคับ รวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชนตามความเหมาะสม
"แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย คือ ภาคสมัครใจกับผู้ประกอบการปัจจุบัน หากต้องการเข้าสู่ระบบตั๋วร่วม และต้องการได้รับสนับสนุนจากกองทุน ต้องขอรับใบอนุญาต แต่หากไม่ประสงค์เข้าสู่ระบบตั๋วร่วม สามารถดำเนินการได้ตามเดิม แต่ไม่มีสิทธิรับสนับสนุนจากกองทุน ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายบังคับใช้ หน่วยงานรัฐต้องทำมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเป็นเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ทุกราย แต่กรณีที่พิจารณาแล้ว เห็นว่ามีความจำเป็นให้ระบบขนส่งสาธารณะต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้รับใบอนุญาต ให้สามารถออกพระราชกฤษฎีกา" นายวุฒิชาติ อภิปรายประธานกรรมาธิการคมนาคม อภิปรายต่อว่า กมธ. มีข้อเสนอแนะที่ควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมาย คือ 1.เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ประธานสภาองค์กรรของผู้บริโภค เป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม อีก 1 ตำแหน่ง และเพิ่มจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก 3 คน เป็น 5 คน
2. แก้คุณสมบัติเรื่องอายุขั้นต่ำของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่น รวมถึงรัฐธรรมนูญที่กำหนดอายุขั้นต่ำของนายกรัฐมนตรีไว้ที่ 35 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
3. ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะด้านสถานะทางการเงิน และความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบ หรือความเสียหายต่อภาครัฐ
4. การส่งเสริมการแข่งขัน และการป้องกันการผูกขาด และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กกรอนิกส์ (E-PAYMENT) ทั้งนี้ การกำหนดอัตราทุนจดทะเบียนในมูลค่าสูง และต้องชำระเต็มจำนวน อาจเป็นข้อจำกัดต่อการปฏิบัติ และข้อต่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการแข่งขันทางธุรกิจ
5. การกำหนดวาระของกรรมการ ที่กำหนดให้เมื่อพ้นวาระไป 1 ปีสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก ทั้งนี้ ควรแก้ไขให้มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อความโปร่งใส และป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
ทั้งนี้ สำหรับการอภิปรายของ สว. มีทิศทางสนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ มาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมาย เพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชน และมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เป็นต้น
ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว. อภิปรายสนับสนุนและเสนอแนะว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศว่าจะทำให้ได้ภายในเดือนพ.ย.นั้น ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตนกังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว
อย่างไรก็ดี เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมาย รวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ จึงควรเป็น กมธ.ชุดเดียวกัน เพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บาทตลอดสายทำได้จริง