
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในการแถลงนโยบายรัฐบาลว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยมีคนไทยคนใดที่เกิดมาแล้วได้เห็นประชาธิปไตยเต็มใบ การเมืองมีเสถียรภาพ ทุกคนที่เคยผ่านการเลือกตั้งต่างผ่านเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารมาแล้วทั้งสิ้น พรรคประชาชน จึงมุ่งมั่นและให้ความสำคัญต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเป็นการเปิดประตูสู่การพัฒนาให้เกิดแรงขับเคลื่อนภายในประเทศ ไม่ใช่การรับอานิสงส์จากต่างประเทศ เราไม่เคยเติบโตด้วยลำแข้งของตัวเอง
"ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ ทำให้เราต้องมีการแถลงนโยบายถึง 3 ครั้งในช่วง 2 ปี เนื่องจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมืองมากกว่าการจับคนโกงลงโทษคนผิด ปัญหาการทุจริตไม่เคยเบาบางลงมีแต่หนักขึ้น" นายณัฐพงษ์ กล่าวผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า วงจรการเมืองที่เป็นเช่นนี้สะท้อนถึงปัญหาต่าง ๆ เช่น คนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือเกษตรกรที่ผลผลิตราคายังคงตกต่ำ ปุ๋ยแพง หนี้ท่วมหัว แถมยังต้องเป็นหนี้นอกระบบ คนไทยทุกคนที่ต้องทนอยู่กับปัญหาฝุ่น PM2.5 พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก็ยังล่าช้าผ่านสภาไปไม่ได้ ปัญหาน้ำท่วม ไฟป่าก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลยุคใดที่เข้ามาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ ซึ่ง 64 ปีมาแล้วที่ประชาชนในต่างจังหวัด เคยอยู่กับคำขวัญ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 แต่หลายพื้นที่วันนี้ยังคงน้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง ทางไม่สะดวก ขณะที่ลูกหลานคะแนนสอบ PISA ก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง เทียบกับประเทศอาเซียนเด็กไทยอยู่อันดับที่ 5 เป็นรองทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และมาเลเซีย ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวให้แข่งขันกับโลกในอนาคต และหลายคนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ประเทศไทยเดินช้ากว่าโลกและประเทศเพื่อนบ้าน และในขณะที่ตั้งแต่ปี 2549 โลกเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี แม้จะเจอกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 และโควิดในปี 2563 โลกยังฟื้นตัวกลับมาได้เร็วแต่ไทยไม่เคยฟื้นตัวกลับมายืนอยู่บนเส้นเดียวกับโลกได้เลย ในปี 2563 ขณะที่เศรษฐกิจโลกหดตัว 2.8% ไทยกลับตกลงถึง 6.05% ในปีต่อมาขณะที่โลกฟื้นตัวกลับมาได้สูงกว่าประเทศไทยถึง 6.4% แต่ไทยฟื้นตัวกลับมาได้เพียง 1.55% เท่านั้น
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังอ่อนแอ อุตสาหกรรมล้าหลัง และไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนประเทศอื่น นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่เป็นวงจรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นว่าหากปราศจากปัจจัยเชิงบวกที่ไทยได้รับอานิสงส์จากการเมืองโลกภายนอก ไทยแทบไม่เคยเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยลำแข้งของตัวเองเลย และในวันที่โลกมีแต่ปัจจัยเชิงลบ ไทยก็ดูดซับแรงกระแทกเหล่านั้นเข้าเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นโควิด สงครามการค้า สินค้าราคาถูก หรือปัญหาทุนเทา
ดัชนีการทุจริตของไทยวันนี้ก็ยังตกลงอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2555 ที่ไทยมีคะแนนดัชนี CPI อยู่ที่ 37 คะแนน ปี 2567 คะแนนของไทยกลับตกลงมาอยู่ที่ 34 คะแนน ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี อยู่อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก นั่นเพราะกลไกการตรวจสอบของไทยที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าใช้ปกป้องเงินภาษีของประชาชน
"รัฐธรรมนูญและระบบการเมืองแบบนี้หรือที่จะพาประเทศไทยพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เศรษฐกิจไทยกลับช้า ตามไม่ทัน และติดหล่มอยู่กับที่ เพราะเครื่องยนต์หรือระบบการเมืองภายในประเทศกำลังฉุดรั้งรถคันนี้เอาไว้อยู่ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยกเครื่องรถคันนี้ใหม่ให้เดินหน้าได้อย่างเต็มกำลัง" นายณัฐพงษ์กล่าวประเทศไทยที่ติดเครื่องยนต์ใหม่แบบนี้จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อทำให้รถยนต์คันนี้สามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง นี่คือเหตุผลที่พรรคประชาชนมุ่งมั่นเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยอมลงคะแนนให้ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามข้อตกลงที่ปรากฏอยู่ใน MOA และการทำหน้าที่ของพวกตน 4 เดือนต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่ประชาชนจะใช้ตัดสินพวกตนในวันหน้า ดังนั้น สิ่งที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้ในสภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือฝ่ายค้านเสียงข้างมากก็คือ
- การเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน 4 เดือนนี้ต้องผ่านด้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ให้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภา โดยที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
- การผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด
- การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ตกค้างจากรัฐบาลชุดก่อน โดยพรรคประชาชนจะดำเนินการตรวจสอบอย่างเต็มที่ ไม่ให้เกิดปัญหาการใช้อำนาจโดยมิชอบ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การแต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเหมาะสม
"ฝากไปถึงคุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ สิ่งที่เราอยากเห็นนั้นจะไม่ใช่แค่การที่ต้องเคารพต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชน แต่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมและประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศและเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ด้วย" นายณัฐพงษ์กล่าว