"ชลน่าน" จวกรัฐบาล "หนูเน" ขโมยอนาคตประชาชน! ซัด 4 เดือนส่อพาประเทศสู่ 4 หายนะ

ข่าวการเมือง Monday September 29, 2025 12:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวเปิดอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็นคนแรกของพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวถึงภาพรวมนโยบายทั้ง 4 ด้านของรัฐบาลอนุทิน ในกรอบเวลา 4 เดือน ว่า ไม่อาจนำไปสู่ทางออกของประเทศได้ แต่จะกลายเป็นปัญหามากกว่าทางออกของประเทศ และไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เข้าขั้น "หายนะ"

ประการแรก ปัญหาต่อประชาธิปไตยไทย รัฐบาลภูมิใจไทย พูดมาโดยตลอดว่าจะผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่สังคมเห็น อาจเรียกว่าเป็น สัญญาลมปาก จึงอยากใช้โอกาสนี้ผลักดันให้พรรคประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองที่ร่วมเซ็น MoA ได้ร่วมผลักดัน และเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการทำให้วุฒิสภายืนยันว่าจะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และหากสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นจริง ประเทศไทยยังคงต้องถูกแช่แข็งต่อไป

นพ.ชลน่าน ยังอภิปรายอีกประเด็น คือ ระบบการเลือก สว. แบบใหม่ที่นำมาใช้ครั้งเดียวในปี 2567 จนกลายเป็นต้นตอของปัญหา เพราะออกแบบมาให้การนัดแนะ ตกลง แลกเปลี่ยนคะแนน ระหว่างผู้สมัครสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จนเกิดกลุ่ม สว. ที่คนทั้งประเทศขนานนามว่าเป็น สว.สีน้ำเงิน ขึ้นมา โดยหลัง สว. ชุดนี้เข้าปฏิบัติหน้าที่ พบว่ามีการลงมติไปในทิศทางเดียวกันซ้ำ ๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่สอดคล้องกับพรรคภูมิใจไทย สะท้อนให้เห็นถึงเครือข่ายทางการเมืองที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างสภาสูงกับพรรคการเมือง

และที่น่าเป็นกังวลต่อระบอบประชาธิปไตย คือ การไต่สวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ระบุว่ามีผู้เกี่ยวข้องรวม 229 คน ในจำนวนนี้ เป็นกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และผู้ใกล้ชิดถึง 91 คน ซึ่งหากการสอบสวนแล้วเสร็จครบขั้นตอน กกต.มีสิทธิยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทยได้ในอนาคต

"เช่นนี้แล้ว เราคงพูดได้เองด้วยซ้ำว่า พรรคภูมิใจไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลนี้ คือ หายนะต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหายนะต่อระบอบประชาธิปไตยอีกทีหนึ่ง เช่นนี้จะให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นได้อย่างไร ว่านโยบายนี้ จะไม่ใช่แค่ลมปากมาหลอกลวงประชาชน และทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งยุ่งยากมากขึ้น กลายเป็นวิกฤตประชาธิปไตยมากยิ่งไปกว่าเดิม" นพ.ชลน่าน กล่าวอภิปราย

ประการต่อมา หายนะเรื่องความโปร่งใสและหลักนิติรัฐนิติธรรม โดย นพ.ชลน่าน ตั้งข้อสังเกตเรื่องการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ที่มีฐานที่มั่นใน บุรีรัมย์ สะท้อนปัญหาเรื่อง การใช้ฐานอำนาจท้องถิ่น และเครือข่ายการเมือง มากกว่าการคัดสรรบุคคลตามความสามารถ และมาตรฐานจริยธรรมที่ควรเป็น โดยช่วงหนึ่งได้ตั้งฉายารัฐบาลครั้งนี้ว่าเป็น "รัฐบาลอนุวิน-เนทิน-หนูเน"

นอกจากนี้ รัฐมนตรีหลายคนยังขาด ความโปร่งใส และความชอบด้วยกฎหมาย เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยต้องโทษคดียาเสพติดในออสเตรเลีย แม้ศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 จะตีความว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไทย แต่สังคมยังตั้งคำถามถึง มาตรฐานจริยธรรม ของการแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่ง นับเป็นความขัดแย้งกับแนวนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องที่ดินเขากระโดง คดีฮั้ว สว.ที่ยังไม่ได้รับการสะสาง รัฐบาลที่มีประเด็นเรื่องความโปร่งใสเช่นนี้ จะบริหารประเทศได้อย่างไร

ประการที่สาม การขาดความสามารถในการบริหารประเทศ ซึ่งหลายปัญหาที่ประกาศจะแก้ไข เป็นปัญหาที่นายอนุทิน เคยละเลย และอาจเป็นผู้สร้างปัญหาไว้เสียเอง โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับสมญานามจากสื่อต่างประเทศว่าเป็น "Cannabis King"

อันเนื่องจากในสมัยที่นายอนุทิน ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข ได้ประกาศปลดล็อกกัญชา-กัญชง ออกจากบัญชียาเสพติด เปิดทางให้ประชาชนปลูกและใช้ได้ แม้จะตั้งเจตนารมณ์ว่าเพื่อการแพทย์และสุขภาพ แต่เมื่อดำเนินการจริง กลับพบว่ากัญชาถูกใช้ในเชิงสันทนาการอย่างแพร่หลาย ขณะที่กฎหมายควบคุมกลับยังล่าช้า เต็มไปด้วยช่องโหว่ และขาดมาตรการคุ้มครองเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม สร้างปัญหาทางสังคมและสาธารณสุขที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียง และต้องแก้กฎหมายต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด คือ "หายนะทางโอกาสของประชาชน" เพราะหลายโครงการที่พี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์กลับต้องหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านเพื่อคนไทย, โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา (ODOS) ที่จะยกระดับแรงงานและอาชีวะ รวมถึงนโยบายดอกเบี้ย 19% หรือแม้กระทั่ง Financial Hub ทั้งหมดนี้ถูกสกัดจนไม่เกิดผล ประชาชนไม่ได้แค่เสียเวลา แต่ถูกขโมยอนาคตและพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตา

โดยเฉพาะนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ไม่เพียงเป็นนโยบายลดค่าโดยสาร แต่เป็นนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อมโอกาสทางเศรษฐกิจของคนชานเมืองกับใจกลางกรุงเทพฯ หากหยุดมาตรการนี้ ประชาชนจะถูกบังคับให้แบกต้นทุนค่าเดินทางสูงขึ้นทันที ซึ่งขัดกับหลักการ "ลดค่าครองชีพ" ที่รัฐบาลได้ประกาศไว้

"ยิ่งรัฐบาลชุดนี้ มีอายุการทำงานเพียงไม่กี่เดือน การตัดสินใจยุตินโยบายที่พิสูจน์แล้วว่า "ได้ผลจริง" ย่อมถูกตั้งคำถามว่า คุ้มค่ากับการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนหรือไม่" นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่านโยบายที่รัฐบาลอนุทินประกาศไว้ ไม่ใช่ 4 ข้อ ที่จะพาประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เป็นหายนะของประเทศในระยะยาว เป็นการจัดวางอำนาจเพื่อสืบทอด และครอบงำ มากกว่าพยายามที่จะสร้างภาพอนาคตของประเทศที่ดูจับต้องได้

"ระยะเวลา 4 เดือนสำหรับการเมือง อาจจะไม่นาน แต่สำหรับประชาชนที่ต้องทนอยู่กับเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ที่ไม่พอรายจ่าย และคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีขึ้น ระยะเวลา 4 เดือนต่อจากนี้ อาจเป็นเวลาที่สูญเสียไปอย่างไร้ความหมาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า รัฐบาลนี้ยังไม่สามารถวาดภาพอนาคตที่มั่นคงให้ประชาชนเห็นได้เลย" นพ.ชลน่าน อภิปรายทิ้งท้าย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ