พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ (ปชช.) ในฐานะฝ่ายค้าน อภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาล โดยระบุว่า จากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะเป็นรัฐบาล 4 เดือนนั้น แต่จากนโยบายที่แถลงออกมาเหมือนจะอยู่ยาว 4 ปี การที่รัฐบาลจะทำงานภายในเวลา 4 เดือนแล้วยุบสภานั้น จะต้องคิดว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดต้องทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ และสิ่งใดต้องไม่ทำ
โดยสิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือต้องประกาศให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต รัฐบาลต้องบริหารงบประมาณ 3.78 ล้านล้าน รัฐบาลควรไปทำงานประจำให้ดีขึ้น เพราะเวลา 4 เดือนเท่านั้น ส่วนสิ่งที่รัฐบาลไม่ควรทำ คือ ไม่ใช้กฏหมายอยู่เหนือความยุติธรรม การไม่ใช้อำนาจไปแทรกแซงใด ๆ
พร้อมมองว่า รายชื่อของรัฐมนตรี 7-8 คนในรัฐบาลชุดนี้มีความน่าเป็นห่วง เพราะสังคมคนอาจมีความสงสัยในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริตอันเป็นที่ประจักษ์ มีการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง และเชื่อว่าจะมีสมาชิกรัฐสภาจะมีการหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปราย เพราะจะมีผลต่อความน่าเชื่อถึอของรัฐบาล
ทั้งนี้ พ.ต.อ.ทวี ยังได้อภิปรายพาดพิงไปถึงนายกรัฐมนตรีในเรื่องที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้วเลือก สว. ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ สว. และ สส.ของพรรคภูมิใจไทย ที่ลุกขึ้นประท้วง พ.ต.อ.ทวี เพราะมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการแถลงนโยบายรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นการพูดที่ซ้ำซากบ่อยครั้งของ พ.ต.อ.ทวี ในการอภิปรายหลายครั้งที่ผ่านมา
โดยนายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นประท้วง ว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายรัฐบาล ดังนั้นไม่มีประเด็นเหล่านี้ (เขากระโดง-เลือก สว.) ในนโยบาย เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่าไม่แทรกแซง ไม่มีใครแทรกแซง ตัวท่านต่างหาก (พ.ต.อ.ทวี) ที่แทรกแซง จนถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
พ.ต.อ.ทวี ตอบโต้ว่า การอภิปรายเรื่องนี้ เพราะต้องการให้รัฐบาลบริหารให้ดี เพราะเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ที่เป็นหน้าที่โดยตรงของนายอนุทิน การอภิปรายคดีเขากระโดง อยู่ในนโยบายที่รัฐบาลระบุว่าจะไม่ใช้กฏหมายและเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง พร้อมยืนยันว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เกี่ยวกับประโยชน์ทางการเมือง เพราะนายอนุทิน ก็มีบ้านอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ และมีที่ดินอยู่ในที่นี้ด้วย หลังจากนั้น พ.ต.อ.ทวี ได้อภิปรายต่อเรื่องคดีฮั้ว สว. โดยย้ำว่า ส่งผลกระทบเสถียรภาพฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารที่กระทบไปถึงองค์กรอิสระ
จากนั้นจึงเกิดการประท้วงวุ่นวายตามมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น สส.ของพรรคภูมิใจไทย ที่ตอบโต้กับ สส.พรรคประชาชาติ ซึ่งขณะนั้นนายมงคล สุรสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
นายอดิศร เพียงเกษ สส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่าการฮั้ว สว.เกี่ยวข้องกับประธานในที่ประชุม โดยขอให้นายมงคล สุระสัจจะ งดการทำหน้าที่ เพราะจะไม่เป็นกลาง และขอให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มาทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน
หลังจากนั้น นางนันทนา นันทวโรภาส สว. ก็ร่วมประท้วงด้วย โดยเห็นว่าผู้อภิปรายได้อภิปรายนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้แล้ว ในประเด็นนิติรัฐนิติธรรม โดยถามว่ารัฐบาลจะทำได้อย่างไร เพราะมีคนที่เกี่ยวข้องกับคดีความต่าง ๆ และในจำนวนนั้น มีประธาน มีชื่อในผู้ถูกกล่าวหาในคดีฮั้ว สว. จึงเข้าใจว่าคนที่ประท้วงมีความร้อนตัว เพราะมีคดีความ จึงขอให้ประธานวินิจฉัยด้วยความเป็นกลาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้จะมีการประท้วงวุ่นวายตามมาอีกระยะ แต่นายมงคล ในฐานะประธานที่ประชุม ได้ให้ พ.ต.อ.ทวี อภิปรายจนจบ โดย พ.ต.อ.ทวี ย้ำว่าในคดีฮั้ว สว. มีผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จึงขอว่าอย่าเข้าไปแทรกแซงคดี ตามที่มีเวลาเพียง 4 เดือน เพราะเป็นมหันตภัยที่ไม่เคยเกิดในสังคมไทย พร้อมฝากที่นายกรัฐมนตรีมีนโยบายเรื่องกัญชาว่า จะทำให้เป็นตราบาปของสังคมไทย เพราะหากไม่ควบคุมให้ดี อาจจะเป็นหายนะของสังคมไทย
นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ยืนยันว่า ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนการออกเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายครบถ้วนแล้ว กรมที่ดินได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลทุกคดี ไม่ได้มีคำพิพากษาใดที่ระบุว่า ที่ดินทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทั้งนี้การดำเนินการต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และไม่สามารถให้บุคคลหรือคณะกรรมการอื่นเข้ามาดำเนินการแทนได้
นายทรงศักดิ์ ย้ำว่า การพิจารณาต้องยึดตามประเด็นข้อพิพาทที่คู่ความร้องขอต่อศาล และศาลจะไม่ตัดสินเกินกว่าคำขอที่ยื่นไว้ การดำเนินการเพิกถอนโฉนดจึงเป็นไปตามแต่ละคดี ไม่ใช่การตัดสินให้ที่ดินทั้งหมดตกเป็นของการรถไฟฯ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายยึดถือข้อเท็จจริงทางกฎหมายและปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด