นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ตอบกระทู้ถามในสภาฯเป็นครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้อซักถามของนายปารเมศ ววิทยารักษ์สรรค์ สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) กรณีถนนสามเสนทรุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ว่า ได้สั่งการให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญ กรมโยธาธิการและผังเมือง และผู้แทน กทม. ร่วมตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงกรณีตึก สตง.ถล่มด้วย ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นนั้นมีความไม่สมบูรณ์ทางวิศวกรรมแน่นอน โดยเชื่อว่าจะพบจุดบกพร่องและชี้แจงให้ประชาชนทราบ พร้อมกับวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
"ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเร่งจัดตั้งกรรมการสอบสวนและนำผลมาศึกษาวิเคราะห์หาความผิดพลาดบกพร่อง และต้องออกมาตรการการดำเนินการก่อสร้างใหม่ หากพบความผิดพลาดจากเทคนิคต้องดำเนินการแก้ไข แต่หากเกิดจากความสะเพร่าหรือเลินเล่อของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบตามสัญญาที่กำนดไว้ ขณะเดียวกันการตรวจสอบตึก สตง.ถล่ม ได้ติดตามทุกสัปดาห์ ซึ่งผมเชื่อว่าจะได้คำตอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" นายอนุทิน ชี้แจงการแก้ปัญหาถนนยุบนั้น รฟม.ได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อคืนสภาพพื้นที่ โดยให้ความมั่นใจว่าจะสามารถคืนผิวจราจรได้ในวันที่ 9 ต.ค.นี้ และจะมีการติดตั้งเครื่องมือติดตามการเคลื่อนไหว สแกนโพรงใต้ดิน และส่งเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ 24 ชั่วโมง ส่วนการเยียวยาผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น กำชับให้กระทรวงคมนาคม และ ผู้ว่าการ รฟม.ดูแล แม้ไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ขึ้น ต้องหารือและสั่งการให้ผู้รับจ้างชดใช้ ช่วยเหลือ สนับสนุน ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ สำหรับการเยียวยา รวมถึงโอกาสของการสร้างรายได้ช่วงที่เกิดเหตุอย่างเต็มที่ด้วย
นายปารเมศ ยังตั้งคำถามถึงความเกี่ยวพันในฐานะอดีตผู้บริหาร บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) หรือ บมจ.สเตคอน กรุ๊ป [STECON] เนื่องจากผู้รับจ้างคือกิจการร่วมค้าของ บมจ.ช.การช่าง [CK] และ STEC ดังนั้นการตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวจะให้ความมั่นใจต่อการตรวจสอบที่ตรงไปตรงมาได้อย่างไร โดยขอให้กรรมการที่ตั้งขึ้นขอให้ทำงานเป็นอิสระ และทำงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์รัฐ ไม่ใช่นายทุน นอกจากนั้นการตรวจสอบของเหตุการณ์
"ขณะนี้ยังไม่ได้ยินจากนายกฯ ว่าจะดำเนินการเอาผิดกับผู้รับจ้างอย่างไร หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความบกพร่องของการก่อสร้างหรือการออกแบบ ดังนั้นขอให้นายกฯ พูดให้ชัดเจนว่าจะดำเนินคดีหรือเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานภาครัฐ จะแบล็กลิสต์ หรือระงับการรับงานโครงการภาครัฐหรือไม่ รวมไปถึงการเรียกร้องค่าเสียหายหากส่งมอบงานล่าช้า" นายปารเมศ ตั้งคำถามนายอนุทิน ชี้แจงว่า อยู่ในการเมืองเป็นรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2547 แม้มาจากภาคเอกชนแต่ก็ไม่ต่างจากผู้สถาปนาพรรคอนาคตใหม่ เมื่อตัดสินใจทำงานการเมือง รู้ข้อจำกัดต้องเคลียร์ตัวเองให้เกลี้ยง โดยใช้เวลา 21 ปีในการเมือง หลังจากออกจากการเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนหลายแห่ง ไม่เฉพาะ STEC เท่านั้น และเมื่อมีการเลือกตั้งปี 2562 รู้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีโอกาสเข้าทำงานในสภา สิ่งที่ทำเมื่อปีนั้น คือ ขายหุ้นใน STEC จนหมด และไม่มีการถือหุ้นใดๆ ที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎระเบียบที่ทำงานการเมือง
"ผมไม่เกี่ยวข้องกิจการภาคเอกชนใดๆ ตั้งแต่ลาออกมาทำงานภาคการเมือง และเมื่อพ้นตำแหน่งทางการเมืองปี 2549 ตนไม่ได้กลับเข้าไปทำงานภาคเอกชนอีก กรณีนี้บริษัทรับจ้างที่ผมทำงาน 20 ปีก่อน การปกป้องเพื่อให้ประโยชน์ไม่มี ผมและซิโน-ไทย เหมือนไม่รู้จักกัน รู้แค่เป็นบริษัทก่อสร้างและทำธุรกิจอยู่ แต่เมื่อผมอยู่ในภาครัฐ ไปตรวจดูได้ว่า ไม่มีตรงไหนที่ตนเคยใช้ความเกี่ยวข้อง อิทธิพล การโน้มน้าวใดๆ ช่วยเหลือบริษัทนี้ ผมสบายใจที่จะตอบว่า ผมให้สัตยาบรรณว่า นอกจากจะให้อิสระในการตรวจสอบ รวมถึงการตั้งกรรมการตรวจสอบความเสียหาย ที่เป็นสิทธิของรมว.คมนาคม ทั้งนี้การตรวจสอบต้องเน้นประโยชน์ของรัฐของราชการเป็นสำคัญ" นายอนุทิน ชี้แจงนายอนุทิน ชี้แจงต่อว่า ในการตรวจสอบหากพบว่าเป็นความบกพร่องจากการก่อสร้าง ผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบ ซึ่งในขั้นตอนนั้น รฟม.มีบริษัทตรวจการจ้างดูแล ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีทางที่มนุษย์หน้าไหนเอื้อประโยชน์ให้คนที่ทำผิด ผู้รับจ้างเหนื่อยแน่ ต่อให้เคลียร์ตัวเองได้ ต้องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรม หากพิสูจน์พบว่าบกพร่องรุนแรง มีขั้นตอนจะต้องเสียค่าชดใช้ตามสัญญาที่กำหนดไว้ชัดเจน เท่าที่ทราบ คือ สิ้นสุดเดือนส.ค.70 หากส่วนที่เสียหายที่ต้องซ่อมเมื่อวันสัญญาสิ้นสุด ทำไม่เสร็จ ค่าปรับเดินแน่นอน
"ผมขอให้ความมั่นใจ เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยเสียหาย มีแต่เสียเพื่อนหลายคนแล้ว เพราะไม่ได้ใช้อิทธิพลหรือใช้อำนาจใดๆ ช่วยเหลือ หากใครขอผมจะเจอแต่ความว่างเปล่า แม้จะส่งไลน์มา ผมกดทิ้งไม่อ่านและจะบล็อกด้วย เพราะผมยึดถือการปกป้องประโยชน์ประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งการตั้งกรรมการนั้นยืนยันว่าต้องมีผู้เชี่ยวชาญรอบด้าน ไม่มีการช่วยเหลือใดๆ มีแต่จะกระทืบ และผมเองจะติดตามงานอย่างใกล้ชิด และทุกครั้งหลังประชุมจะเปิดเผยทุกครั้ง" นายอนุทิน ชี้แจง