
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "หลักนิติธรรม : วาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของไทย" ว่า เวทีนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของชาติได้มาร่วมกันมองอนาคต และขับเคลื่อนให้หลักนิติธรรมเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นพื้นฐานของความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้จริงในอนาคตอันใกล้
ในการแถลงนโยบาย ตนให้ความสำคัญเรื่องการรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด เพราะบทเรียนจากทั่วโลกชี้ตรงกันว่า หากหลักนิติธรรมอ่อนแอประเทศนั้นจะไม่สามารถรักษาความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้นักลงทุนหนีหาย ในอีกทางหนึ่งพูดได้ว่า "หลักนิติธรรม คือต้นทุนสำหรับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี เปรียบ "ความยุติธรรม" เสมือน "เสาเข็ม" ของทุกสังคมที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ และความยุติธรรมต้องเป็นของทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ถูกจำกัดไว้เฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่ม (Justice for all, not justice for some) รวมทั้งไม่มีประเทศใดในโลกจะแข่งขันได้อย่างยั่งยืน หากขาดหลักนิติธรรมที่มั่นคง และการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องอาศัยกฎหมายที่มั่นคง แน่นอน คาดเดาได้ และต้องมีความไว้วางใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน พร้อมระบุว่า หลักนิติธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือ "วัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม" ที่ต้องปลูกฝังให้หยั่งรากในทุกระดับของสังคม เพื่อให้มีทั้งกฎหมายที่เป็นธรรมและมีระบบที่ทุกคนเชื่อมั่น และยืนหยัดบนความถูกต้อง
"พื้นหลังผมเป็นวิศวกร นั่นคือการวางรากฐานที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารโครงสร้างต่าง ๆ หรือการก่อตั้งองค์กรใด หรือการพัฒนาใด ๆ จะให้ความสำคัญของเรื่องรากฐานที่มั่นคงก่อนเสมอ และในความเป็นวิศวกรนั้น เชื่อว่าหลักความยุติธรรมเป็นเสมือนเสาเข็มที่สำคัญของทุกสังคม เพราะพวกเราทุกคน นอกจากจะต้องมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตในแต่ละวันแล้ว เราต้องมีกฎหมายเป็นที่พึ่ง และกฎหมายต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกคน"นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากให้มีการบัญญัติศัพท์ Justice for all เช่นนี้ในรัฐธรรมนูญด้วย ที่ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจ และต้องเชื่อมั่นกฎหมายต่าง ๆ ส่วนความกังวลว่า รัฐบาลนี้จะมาใช้อำนาจในการที่จะเป็น Justice for some นั้น ขอยืนยันว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่ตนเป็นหัวหน้าอยู่ และปล่อยให้กลไกยุติธรรมดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น
"ถ้าพวกผมผิดตอนเป็นฝ่ายค้าน มาเป็นรัฐบาลก็ต้องผิด ต้องดำเนินคดีให้ได้ ไม่ใช่พอมาอยู่ตรงนี้ช้าลง ขออย่าช้าใครทำช้า ผมเอาเรื่องหนักยิ่งกว่าอีก เพราะผมทนไม่ได้กับกระบวนการยุติธรรมที่ทำเพื่อวัตถุประสงค์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างนั้นมันยิ่งกว่าเผด็จการ ชี้เป็นชี้ตายคนได้ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องไม่เหลืออะไร เพราะคนที่มีอำนาจสูงสุด ประชาชนเลือกมา จะมาชี้เป็นชี้ตาย และชี้อนาคตทิศทางประเทศไม่ได้เด็ดขาด สิ่งเหล่านี้ตนจะไม่มีวันยอมให้เกิด" นายกรัฐมนตรี กล่าวสำหรับประเทศไทยในวันนี้ เรากำลังอยู่ในเส้นทางของการพยายามเข้าร่วมเป็นสมาชิก Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) ซึ่งอย่างที่เราทราบกัน การจะเป็นประเทศสมาชิกใน OECD ได้ จะต้องมีความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม ประกอบด้วย
(1) การวาง Roadmap ด้านหลักนิติธรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นสมาชิก OECD ปักหมุดแผนการยกระดับมาตรฐานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
(2) การปลดล็อกคอร์รัปชันและปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และที่สำคัญป้องกัน ช่องโหว่ทางกฎหมายหรือกลไกที่ไม่โปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิด "ธุรกิจสีเทา" และให้ธุรกิจสุจริตสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง
(3) การสร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยการยกระดับ Open Government ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ อย่างโปร่งใสและเข้าถึงได้จริง เพื่อให้ประชาชน ติดตาม ตรวจสอบ และ สะท้อนความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐได้อย่างเป็นระบบ และรัฐจะต้องมีองค์กรที่รับฟังความคิดเห็นเหล่านี้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องของความเหลื่อมล้ำ ขาดเสถียรภาพทางการเมือง และปัญหากลไกการปกครองเรื่องความปลอดภัย สแกมเมอร์ ยาเสพติด กำลังคุกคามประเทศ หน่วยงานของรัฐเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องรักษาและยึดหลักนิติธรรมอย่างเข้มแข็งต้องมีความกล้าหาญที่จะบังคับกฎหมาย โดยความถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ถูกครอบงำและชักจูงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือกลั่นแกล้งบุคคลใดที่คิดว่าเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง อย่างนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ยุติธรรมเพื่อทุกคน
นายกฯ กล่าวว่า ทราบดีว่าการฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องใช้เวลาต้องอาศัยความต่อเนื่อง แต่อยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ ใน 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้จะไม่เป็น 4 เดือนที่สูญเปล่า แต่จะเป็น 4 เดือนที่พวกตนตอกเสาเข็มวางฐานรากและสร้างโรดแมพให้รัฐบาลหน้า หรือ รัฐบาลใด ๆ ก็ตามได้เดินต่อไป เพื่อทำให้ประเทศไทยของเรามีรากฐานที่มั่นคง และสามารถไปแข่งขันได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก