นายจรัญ ภักดีธนากุล กรรมการกฤษฎีกา ในฐานะอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "แก้ไขรัฐธรรมนูญ ใครได้ประโยชน์" ว่า การแก้รัฐธรรมนูญต้องยึดประโยชน์ของปวงชนชาวไทยเป็นหลัก และต้องหาสมดุลและดุลยภาพให้ได้ ท่ามกลางความหลากหลายของผลประโยชน์ ความเชื่อ รวมทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ เพื่อให้ทุกฝ่ายเดินไปด้วยกันได้ โดยการปรับแก้รัฐธรรมนูญต้องหา ทรีวินโซลูชั่น ไม่ใช่แค่เพียงวิน-วินสองด้านเท่านั้น
วินแรก คือ เสียงข้างมาก เป็นแกนใหญ่ของความเห็นที่ลงตัวร่วมกันของคนส่วนใหญ่ ส่วนฝ่ายข้างน้อย ที่เห็นแตกต่างหลากหลายต้องให้ความเคารพกับเสียงข้างมาก
วินที่สอง คือ คนไทยฐานะเจ้าของประเทศ อำนาจอธิปไตยและมีส่วนร่วมสถาปนารัฐธรรมนูญไทย ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ตนจึงเห็นว่าฝ่ายข้างมากต้องไม่ทอดทิ้งความเห็นหลากหลายที่แตกต่าง ต้องหาที่อยู่ที่ยืน ที่เหมาะสมให้กับฝ่ายที่เห็นต่าง คือ ข้างน้อย เพื่อให้ได้รับชัยชนะที่เดินไปพร้อมกัน ไม่เป็นที่พอใจของ 100% ของสองฝ่าย แต่พอทนได้ พอรับได้ในช่วงระยะเวลาเฉพาะหน้า
นอกจากนี้ต้องมีวินของปวงชนชาวไทยและประเทศไทย เพราะหากเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อยหาจุดร่วมกับสองฝ่ายได้ แต่หากเป็นภัย เป็นพิษต่อประเทศ ประชาชน หากประเทศย่อยยับอับพัง ฝ่ายข้างมากและข้างน้อยยจะอยู่สุขได้อย่างไร จึงคงต้องมีทริปเปิลวินให้ได้
"ถ้าเราหาจุดสมดุลไม่ได้ บทสังเคราะห์ที่ชี้ทางออกของประเทศไม่ได้ จะแตกสามัคคี แม้เป็นรอยเล็ก ดูไม่ร้ายแรงสำหรับคนไทย ทะเลาะเป็นปกติ แต่ไม่แตกสามัคคี แต่หากเป็นรอยร้าว จะเชื้อเชิญมหาอำนาจในโลกที่แข่งขันล่าอาณาเขต เขตอิทธิพลของเขาที่แข่งกัน 2 ขั้ว 3 ขั้ว ซึ่งใช้ประเทศที่แตกแยกเป็นสงครามตัวแทน" นายจรัญ กล่าวอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงสูตรการเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่มจำนวน 20 คนเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 1 คนว่า ตนขอชื่นชม และคนที่ทำเก่งมาก เพราะไม่มีในตำราหรือในทฤษฎีฝรั่ง แต่ได้สังเคราะห์ออกมาอย่างถูกใจ ตนมั่นใจว่าฝ่ายข้างมากเอาแบบนี้ ฝ่ายข้างน้อยที่ไม่มั่นใจพอรับได้ เช่น พรรคที่ได้ สส. 100 คน หยิบได้ 5 คน หากมี สส. 200 คนหยิบได้ 10 คน สว.มี 200 คน หยิบได้ 10 คน ถือว่ามีส่วนร่วม ไม่ขัดแย้งอะไรในรัฐธรรมนูญ
นอกจากนั้นในประเด็นความเสี่ยงต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ ตนยังมองไม่เห็นความเสี่ยง แต่หากให้ตนเลือก ขอเลือกวิธีแก้ไขรายประเด็น เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ที่ทำให้เกิดดุลยภาพ และการแก้ไขต้องเรียงลำดับความสำคัญ ซึ่งกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือพัฒนาการรัฐธรรมนูญจะยั่งยืนมั่นคง ต่อเมื่อใช้เวลาพอสมควร ในแต่ละประเด็นให้ประชาชนส่วนใหญ่ตกผลึกและพอรับได้ ที่ผ่านมาเคยศึกษาว่ามีประเด็นในรัฐธรรมนูญจำนวน 27 ประเด็นที่ต้องพิจารณา ซึ่งต้องแก้ตามสถานการณ์บ้านเมือง
"ความเสี่ยงที่อาจมีคือ อย่าเผลอปล่อยให้ไปเซาะกร่อนบ่อนทำลาย หมวด 1 และหมวด 2 ผมเบาใจว่าไม่น่าจะเกิด เพราะหากแตะหมวด 1 หมวด 2 รวมถึงมาตราที่เป็นรากฐานมาจากหมวด 1 หมวด 2 มีปัญหา ไม่ใช่ปัญหากับคุณหรือผม แต่เป็นปัญหาของประเทศไทย ปวงชนชาวไทย รวมถึงไม่เปลี่ยนแปลงมาตรา 255 ซึ่งตนมองว่าหากไปยุ่งกับพระราชอำนาจเชื่อว่าจะเป็นปัญหา ส่วนม็อบจะจุดติดหรือไม่อย่าประมาท จะพัง จะเกิดขึ้นได้ ผมมองว่าต้องช่วยกัน ทั้งนี้รัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่ผ่านมา ทุกฉบับเป็นรัฐธรรมนูญพระราชทาน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่เกิดจากสัญญาประชาคม หรือมาจากความเห็นพ้องต้องกันของคนไทย" นายจริญ กล่าวในรัฐธรรมนูญปี 2560 ออกแบบระบบตรวจสอบที่ดูเหมือนกลายเป็นผู้ปกครองประเทศ ผิดหลักระบบตรวจสอบ แต่ทำใหม่ขอเพียงว่าอย่าทิ้งประสิทธิภาพการป้องกัน ปราบปรามคนทุจริต โกงบ้าน โกงเมือง ฉ้อราษฎร์บังหลวง กลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 ปราบโกงมีประสิทธิภาพมาก และเป็นเงื่อนไขที่ถูกมองว่ามากเกินไป อย่างไรขอความกรุณารัฐสภาออกแบบให้มีจุดสมดุล เป็นทริปเปิลวินให้ประเทศ ทั้งนี้อย่าปล่อยปละละเลยให้เสียงข้างมากกินรวบ ขอให้แสดงออก อย่าก้าวร้าว ทำอย่างสร้างสรรค์ มีส่วนร่วมฐานะเจ้าของอธิปไตย