นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา กล่าวว่า กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 10-11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในวาระสองนั้น ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีจำนวน 50 มาตรา แม้ร่างมาตราจะมีจำนวนไม่มาก แต่ในส่วนของมาตรา 4 ซึ่งแก้ไขมาตรา 256 นั้นมี 39 มาตรา ซึ่งมีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก และถูกแก้ไขแทบทุกมาตรา ดังนั้นสมาชิกสามารถอภิปรายได้ทุกมาตรา แต่ตนเชื่อว่าระยะเวลา 2 วันนั้นจะเพียงพอ ส่วนการอภิปรายในวาระสองนั้นตนมองว่าในระบบรัฐสภาที่ใช้เสียงข้างมากต้องหาข้อยุติได้ แม้ว่าจะสู้หรือถกเถียงกันอย่างหนัก แต่ด้วยกลไกเสียงข้างมากต้องมีมติและต้องจบ
กรณีที่มีการคาดการณ์ว่า สว.อาจลงคะแนนไม่ให้ผ่านเพราะยังมีข้อที่ติดใจ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญรองรับการออกเสียงของ สว.ไว้ด้วยว่าต้องใช้เสียง สว.ร่วมเห็นชอบด้วย หากการอภิปรายในวาระสองที่มีประเด็นเป็นผลกระทบ อาจส่งผลให้ในวาระสามไม่ผ่านด้วย แต่จากการประเมินทิศทางของ สว. ผ่าน กมธ.ที่เป็นสัดส่วนของ สว.นั้น แนวโน้มยังเป็นไปตามเสียงข้างมาก และขึ้นอยู่กับเสียงข้างมาก
สำหรับเนื้อหาที่แก้ไขมีประเด็นที่กังวลใจนักสุดคือ ที่มาของ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน ซึ่งอาจถูกครอบงำได้ หากปล่อยให้รัฐสภาชุดหน้าเป็นผู้เลือกทั้งหมด ทำให้โอกาสได้รัฐธรรมนูญที่สะท้อนเจตจำนงประชาชนเป็นไปได้ยาก ยกเว้นว่ารัฐสภารับข้อสงวนของ กมธ.เสียงข้างน้อยที่สงวนไว้ ซึ่งตนสงวนความเห็นให้ใช้วิธีการเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ไม่ยึดติดกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คือ ใช้การลงมติโหวตเลือก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ โดยต้องผ่านเกณฑ์เสียงข้างมาก ที่ได้รับความเห็นชอบจากทุกภาคส่วน คือ มี สว.เห็นชอบ 1 ใน 5 หรือ 40 คน และได้เสียงฝ่ายค้าน 20% เพื่อลดการถูกครอบงำ และตนมองว่าสูตร 20 หยิบ 1 นั้นจะทำให้เกิดการครอบงำ
"ประเด็นนี้ผมเสนอให้ทบทวนแล้ว แต่ กมธ.เสียงข้างมากไม่ยอม จึงต้องสงวนไว้เพื่อไปสู่ในวาระสองต่อไป ซึ่งในทิศทางการสงวนความเห็นนั้น จะมีทั้งเชิงประเด็น เช่น สนับสนุน สภาร่างรัฐธรรมนูญ แทนกมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ และรายมาตรา เช่น กลไกได้มาของ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ สูตร 20 หยิบ 1 เป็นต้น" นพ.ชลน่าน กล่าว