นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. ทั้ง 33 เขต ภายใต้แคมเปญ "กรุงเทพฯ ฟ้าใหม่ ไปได้ไกลกว่าเดิม" พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.กทม. ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่า นี่ถือเป็นครั้งที่มีผู้แสดงเจตจำนงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.กทม.มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นครั้งแรกที่ต้องใช้หลายกระบวนการในการคัดสรรผู้สมัคร สส. ตั้งแต่เปิดโอกาสให้ส่งคลิปแสดงวิสัยทัศน์, จัดเวทีให้ตอบคำถามหรือพูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหาของประเทศ รวมถึงการสัมภาษณ์ของคณะกรรมการสรรหา และจบลงที่ความเห็นของกรรมการสรรหา กับรองหัวหน้าพรรค ก่อนส่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้ตัดสิน
"ฟังดูแล้วอาจน่าเบื่อมาก แต่มันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าพรรคอื่นไม่ได้ทำเช่นนี้ และหากทำแบบพรรคอื่น หลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ คงไม่มีโอกาสเข้ามา เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้น คืออยากให้พวกเราทุกคนภาคภูมิใจ ผมไม่ได้บอกว่าเราเลือกถูกคน แต่ประชาชน จะเป็นผู้ตัดสินใจให้ว่าเราเลือกถูกคนหรือไม่" นายอภิสิทธิ์ กล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า ภารกิจของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ถือเป็นเมืองหลวง และเป็นศูนย์กลางของเกือบทุกสิ่งในประเทศนี้ ทั้งความสำคัญทางเศรษฐกิจ ความสำคัญในแง่ของระบบการบริหารราชการ อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ทางการเมือง กรุงเทพฯ ก็เหมือนกับเป็นหัวใจของการเมืองด้วย กล่าวคือ จะเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะของการนำกระแสไม่มากก็น้อย หรือบางครั้งถ้าไม่นำกระแส ก็สวนกระแส เช่น หลายครั้งจะเห็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นในพื้นที่กรุงเทพฯ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่ตลอด คือ เราแต่ละคนต้องแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่เราลงรับสมัครเลือกตั้ง แต่สำหรับคนกรุงเทพฯ ก็ยังมองว่าเป็นตัวแทนของพรรคการเมือง และความคิดทางการเมือง ประชาธิปัตย์เรามีโอกาสครองใจคนกรุงเทพฯ มาหลายสมัย ชนะแบบท่วมท้น ทั้งในการเลือกตั้ง สส. และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 คน 2 ครั้ง ในระยะเวลาที่ไม่นานมานี้ รวมถึง สก. และ สข.
"ถ้าเชื่อเรื่องดวง ไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือไม่ เรื่องดวง เรื่องตัวเลข แต่ผมสังเกตว่า การเลือกตั้งปี 19, 29, 39 ลงท้ายด้วยเลข 9 ประชาธิปัตย์จะชนะ บังเอิญปี 49 และปี 59 เขาไม่ให้เลือก ผมก็ลุ้นอยู่ว่า เขายุบแล้วจะเป็นปี 68 แต่เป็นปี 69 แต่คะแนนทุกคะแนน ต้องได้มาด้วยตัวเอง และคะแนนทุกคะแนนต้องได้มา เพราะการเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนของพรรค" นายอภิสิทธิ์ กล่าวพร้อมยอมรับว่า ในฐานะที่เป็นคนกรุงเทพฯ นั้น ในช่วงที่ไม่ได้อยู่ในการเมือง มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนกรุงเทพฯ หลายคนส่ายหน้า เอือม เบื่อ ท้อ และรอบางสิ่งบางอย่างที่จะเป็นความเปลี่ยนแปลงให้หลุดพ้นจากการเมืองที่ไม่มีทางเลือก
"วันนี้ หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค มาเป็นระยะเวลา 2 เดือนกว่า เราปักธงชัดเจน ว่า เรากับประชาชนจะไม่ทนต่อไป และสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด คือเอาการเมืองสุจริตมาล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้คนไทยต้องอึดอัด เรื่องอุดมการณ์ความคิด ความซื่อสัตย์สุจริต ยอมรับในกระบวนการประชาธิปไตยอย่ามองว่าเป็นเพียงเรื่องนามธรรม ทุกเรื่องโยงกลับมาสู่ปัญหาที่ใกล้ชิดกับประชาชน" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย กล่าว
พร้อมเชื่อว่า การหาเสียงในกรุงเทพฯ เชื่อว่าจะมีการแข่งขันกันในนโยบายที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า ดังนั้นระหว่างพรรคการเมืองที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง กับพรรคการเมืองที่ต้องติดขัดกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ใครจะทำให้ประชาชนได้มีโอกาสขึ้นรถไฟฟ้าในเงื่อนไขที่ดีกว่ากัน รวมไปถึงเรื่องฝุ่นมลพิษ ซึ่งการเมืองที่เข้มแข็งและสุจริตเท่านั้น ที่จะเป็นตัวทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นมาได้ นอกจากนั้น สิ่งที่ทุกคนพูดตรงกันหมด คือ กลัวเรื่องทุนเทาเข้ามาครอบงำทุกสิ่ง ซึ่งหมายความว่ามีคนกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เพราะใช้เงินซื้อได้ แสวงหาประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ ของรัฐ แล้วอย่างนี้ ประชาชนจะอยู่ตรงไหน
ดังนั้น จากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง พวกเราต้องเป็นกระบอกเสียงของจุดยืนของพรรค และสิ่งที่เราบอกว่า จะไม่ทนนั้น ต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา หมายความว่าต้องหาเสียงภายใต้กรอบกฎหมาย บนความซื่อสัตย์ สุจริต
"สำหรับผม คุณเป็นนักการเมืองที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย มันมีกฎ มีกติกา และมีมารยาท ขอให้ยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้อง สร้างประเพณีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ดี ในการลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันครั้งนี้" นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำ- เปิดตัวคนรุ่นใหม่ 33 ผู้สมัคร สส. กทม.
นายสกลธี ภัททิยกุล รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกระบวนการสรรหาผู้สมัคร สส.กทม. ทั้ง 33 คน ว่า เป็นไปตามกระบวนการสรรหา โดยผู้สมัครกว่า 70% นั้นเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ และทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามานั้น ต่างเข้ามาด้วยความสามารถของตนเอง พร้อมแสดงความมั่นใจในศักยภาพของผู้สมัครทั้งหมดที่จะช่วยนำพาให้ "กรุงเทพฯ ฟ้าใหม่ ไปได้ไกลกว่าเดิม" จากนั้นได้แนะนำตัวผู้สมัครทั้ง 33 คน ได้แก่
เขตเลือกตั้งที่ 1 นายพีรวุฒิ พิมพ์สมฤดี
เขตเลือกตั้งที่ 2 นายเจษฎา เลิศธนสาร
เขตเลือกตั้งที่ 3 นายอภิมุข ฉันทวานิช
เขตเลือกตั้งที่ 4 นายพงศกร ขวัญเมือง
เขตเลือกตั้งที่ 5 นายนนธนัตถ์ บุนนาค
เขตเลือกตั้งที่ 6 น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร
เขตเลือกตั้งที่ 7 นายพงศ์พล เตมีย์
เขตเลือกตั้งที่ 8 นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา
เขตเลือกตั้งที่ 9 น.ส.วิเวียน จุลมนต์
เขตเลือกตั้งที่ 10 นายชัยพร แก้ววาตะ
เขตเลือกตั้งที่ 11 น.ส.รมิดา อินทะแพทย์
เขตเลือกตั้งที่ 12 นางพิมชนก เก่าเจริญ
เขตเลือกตั้งที่ 13 นายภาณุพงศ์ ลักษณวิศิษฐ์
เขตเลือกตั้งที่ 14 รอ.ดร.นพ.พิชาญศักดิ์ บุญมาศ
เขตเลือกตั้งที่ 15 น.ส.ฐิตยากร พรโรจนากูร
เขตเลือกตั้งที่ 16 นายสุนันท์ มีนมณี
เขตเลือกตั้งที่ 17 นายฐิติวัชร์ ดีประเสิรฐวงศ์
เขตเลือกตั้งที่ 18 นายเชิดพันธุ์ เตี่ยไพบูลย์
เขตเลือกตั้งที่ 19 น.ส.กานต์ วนาดรวรวิศาล
เขตเลือกตั้งที่ 20 นายรัฐศักดิ์ สุขยิ่ง
เขตเลือกตั้งที่ 21 นายกิตพล เชิดชูกิจกุล
เขตเลือกตั้งที่ 22 นายปรินต์ ทองปุสสะ
เขตเลือกตั้งที่ 23 น.ส.วีร์ ศรีวราธนบูลย์
เขตเลือกตั้งที่ 24 น.ส.มารีญา ฤกษ์ดี
เขตเลือกตั้งที่ 25 นายชยิน พึ่งสาย
เขตเลือกตั้งที่ 26 นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล
เขตเลือกตั้งที่ 27 น.ส.มลฑาทิพย์ ทิพยธนาพัฒน์
เขตเลือกตั้งที่ 28 นายพร้อมพล ธรรมจินดา
เขตเลือกตั้งที่ 29 น.ส.ศิริขวัญ นิลกรรณ์
เขตเลือกตั้งที่ 30 นายคณพล พงศ์พิทยา
เขตเลือกตั้งที่ 31 พ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์
เขตเลือกตั้งที่ 32 นายวิสวัส ทองธีรภาพ
เขตเลือกตั้งที่ 33 นายเจตน์สฤษฎิ์ เลิศธนสาร