ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ร่วมกันตั้ง "ฉายาสภา" ปี 2568 ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำทุกปี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง สส. และ สว. ตลอดปี 2568 ดังนี้
- สภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา "รังหนอนสีเทา"
หากเปรียบ "สภาผู้แทนราษฎร" เป็นร่างกายที่เป็นตัวแทนประชาชน ในปีนี้ ถูกมองว่ามีการกัดกินผลประโยชน์ภายในร่างกายจนเน่าเฟะ สส. หลายคนถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม และการทำหน้าที่ที่ไม่ยึดโยงกับประโยชน์ส่วนรวม แต่กลับมุ่งเน้นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง เหมือนหนอนที่รุมชอนไชอยู่ภายในซากที่รอวันเสื่อมสลาย
อีกทั้งที่ผ่านมา มักจะเห็นคำว่า "งูเห่า" เกิดขึ้นในสภา แต่ระยะหลัง สส.ที่ถูกมองเป็นงูเห่า ไม่กล้าเผยตัว แต่ไปแฝงในพรรคการเมืองต่าง ๆ เปรียบเหมือนกับ "หนอน" ที่แฝงอยู่เพื่อเอื้อประโยชน์ในเชิงนโยบาย หรือโครงการต่าง ๆ ร่วมกัน เป็นการทำธุรกิจการเมืองแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยแทบไม่มีคำว่าประชาชนอยู่ในสมการแม้แต่น้อย
ส่วนคำว่า "สีเทา" สะท้อนถึงพฤติกรรมของนักการเมืองที่อยู่ในสภา ไม่มีใครขาวสะอาดอย่างแท้จริง เพราะปรากฎข่าวว่ามีส่วนพัวพันกับผลประโยชน์ทับซ้อนในระดับที่กฎหมายอาจเอื้อมไม่ถึง จนทำให้ภาพลักษณ์ของสภาในปีนี้ ถูกมองว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ แต่มุ่งแสวงหาอำนาจให้กับตนเองและพวกพ้อง
ดังนั้น "รังหนอนสีเทา" จึงหมายถึง สภาที่รวบรวมเหล่านักการเมืองที่ขาดความสง่างาม มุ่งเน้นการกัดกินงบประมาณ และอำนาจ ผ่านการดีลผลประโยชน์ข้ามขั้ว โดยไม่สนจุดยืนทางการเมือง และหน้าที่ของตนเอง
- วุฒิสภา ได้รับฉายา "รังของหนู"
"วุฒิสภา" เปรียบเสมือนที่รวมบุคคลต่าง ๆ ซึ่งมาจากหลายสาขาอาชีพ แต่พฤติกรรมของวุฒิสภา กลับถูกมองว่าเป็นคนของผู้มีอำนาจ และอยู่ภายใต้พรรคการเมืองหนึ่ง เปรียบเหมือนหนูที่อยู่ในรัง ที่มีการจับกลุ่มกันจนถูกตั้งข้อครหาว่า "พวกมาก ลากไป" ใช้กลไก "จริยธรรม" เล่นงานเสียงข้างน้อยให้ไม่มีที่ยืน แม้รัฐบาล "นายกฯ หนู" จะอ้างว่าไม่สามารถสั่ง สว.ชุดนี้ได้ แต่เสียงข้างมากก็ยังไม่มีแตกแถว เดินหน้าโหวตองค์กรอิสระรัว ๆ แม้จะมีข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน หรือทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ก็ไร้ความสะทกสะท้าน
- ประธานวุฒิสภา ได้รับฉายา "หมงล้งบุรีรัมย์"
"เฮียหมง" หรือ "เสี่ยหมง" ชื่อเล่นที่ภูมิใจของ "มงคล สุระสัจจะ" ประธานวุฒิสภา สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดูจะมีความสุข และเชี่ยวชาญกับบทบาท "เถ้าแก่ล้งผลไม้" มากกว่าการเป็นประมุขสภาสูง ผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ไม่ใช่การขับเคลื่อนงานวุฒิสภา แต่คือการสวมบทบาทเถ้าแก่ล้งผลไม้ พรีเซนต์ "ทุเรียนน้ำแร่" ของดีบุรีรัมย์ และมังคุดเกรดเอระดับพรีเมียม อย่างน้ำไหลไฟดับ จนทำให้ยอดขายถล่มทลาย
แต่พอถามถึงประเด็นร้อนทางการเมือง มักจะเกิดอาการ "กลัวดอกพิกุลจะร่วง" ทันที ไม่ยอมพูดยอมจา พร้อมเอ่ยปากด้วยวลีเด็ด "ประธานต้องเป็นกลาง เขาไม่ให้พูด" ต่างจากตอนขายทุเรียนลิบลับ จนถูกมองว่าเป็นเสี่ยล้งผลไม้มากกว่าประมุขสภาสูง
- "ดาวดับ"
สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันว่ามีผู้สมควรได้รับตำแหน่งนี้ 3 คน ได้แก่
1.นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา โดยในกรณีของนายมงคล จะสอดคล้องกับฉายาประธานวุฒิสภา คือ "หมงล้งบุรีรัมย์" ที่ผลงานเด่นชัดไม่ใช่การทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา
2.นายอลงกต วรกี สว. พยายามทำตัวเด่น ไม่ว่าจะเป็นดรามาแกล้งร้องไห้ ล้อเลียนเพื่อนสว.ด้วยกัน หรือให้สัมภาษณ์สื่อด้วยภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน รวมถึงท่าทางจีบปากจีบคอ แต่กลับทำให้บุคคลภายนอกมองว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับการเป็น สว.
3. นายเศรณี อนิลบล สว. ที่ยกให้เป็นดาวดับอีกคน เพราะมีพฤติกรรมที่ถูกเผยแพร่ทางโซเชียล หลังเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยขอความร่วมมือให้เปิดกระจกเพื่อตรวจสอบรถเข้า-ออก อาคารรัฐสภาตามหน้าที่ปกติ แต่นายเศรณี กลับแสดงความไม่พอใจ ใช้ถ้อยคำต่อว่าหยาบคายอย่างรุนแรง รวมถึงชี้หน้าข่มขู่ แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้นายเศรณีดูดีขึ้น
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ยังเห็นควรให้ฉายา "ดาวดับ" กับนายธนกร ถาวรชินโชติ สว. ด้วย เนื่องจากถูกศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ตัดสินจำคุก 4 ปีในคดีลักทรัพย์ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท รวมถึงกรณีที่นายธนกร ถูกอดีตสาวคนสนิทยื่นสอบจริยธรรมต่อคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ แม้ทั้ง 2 เหตุการณ์ จะยังไม่มีการตัดสินจนถึงที่สุด แต่ในฐานะสมาชิกสภาสูงก็ไม่สมควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
- "วาทะแห่งปี"
วาทะแห่งปี ได้แก่ "วันนี้ เราไม่ได้เลือกคุณอนุทิน มาบริหารประเทศ เราเลือกคุณอนุทิน ชาญวีรกูล มายุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกัน" คำพูดดังกล่าว มาจาก นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายปิดท้ายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 ก.ย.68 เพื่อสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ย.68 โดย "พรรคประชาชน" โหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากคลิปสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
โดยภายหลังจากที่นายอนุทิน ได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อมา คือ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ต.ค.68 วาระพิจารณากำหนดร่างหลัก ในการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ พ.ศ. ) หลังจากที่ประชุมลงมติรับหลักการร่างของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และคณะ ซึ่งเสนอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)และร่างของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และคณะ ที่เสนอให้มี สสร. มาจากการเลือกตั้งบางส่วน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหาเพื่อถ่วงดุล
โดยที่ประชุมรัฐสภา มีมติ 300 ต่อ 287 เสียง เห็นชอบให้ใช้ร่างของนายพริษฐ์ เป็นร่างหลักในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาการพิจารณากฎหมายต่าง ๆ ร่างของรัฐบาลมักจะชนะ แต่ครั้งนี้ กลับเป็นร่างของพรรคฝ่ายค้านที่ชนะ
จนนำมาสู่อีกหนึ่งเหตุการณ์ คือ วันที่ 11 ธ.ค.68 ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 เกี่ยวกับการตัดอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคประชาชนต้องการให้ตัด แต่สว.ส่วนใหญ่คัดค้าน และดูเหมือนเสึยงส่วนใหญ่จะเห็นชอบไม่ให้ตัดอำนาจ สว. ออก ทำให้นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แก้ปัญหาด้วยการลุกอภิปรายว่า หากไม่ตัดอำนาจสว. 1 ใน 3 ออก นายอนุทิน ก็ควรยุบสภาไปเลย
ทำให้นายอนุทิน "ประกาศยุบสภาทันที" โดยมีผลในวันที่ 12 ธ.ค.68 โดยอ้างเหตุผลว่า ยุบสภาตามที่นายณัฐพงษ์บอก และตาม MOA ว่าเลือกนายอนุทินมา เพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎร
- คู่กัดแห่งปี ยกให้ "พิสิษฐ์-นันทนา"
คู่กัดแห่งปีนี้ ได้แก่ คู่ของ สว.พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ และ สว.นันทนา นันทวโรภาส แม้จะเป็น สว.ด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ถือว่าอยู่กันคนละขั้ว และในการประชุมวุฒิสภานั้น ทั้งคู่มักจะมีวิวาทะกันตลอด ไม่ว่า น.ส.นันทนา จะอภิปรายวาระอะไร นายพิสิษฐ์ มักจะลุกขึ้นโต้แย้งด้วยเหตุผลในมุมของตนเองอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในวาระพิจารณาเลือกองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ น.ส.นันทนามักจะขอให้วุฒิสภาชะลอการลงมติไว้ เนื่องจากวุฒิสภายังมีเอี่ยวในเรื่องคดีฮั้วสว.อยู่ เกรงว่าอาจจะมีความไม่ชอบธรรมอยู่ตลอดเวลาที่มีวาระดังกล่าวเข้า แต่ก็ถูกสว.พิสิษฐ์ ลุกขึ้นสวนกลับทุกครั้ง ถึงขั้นไล่น.ส.นันทนา ออกจากห้องประชุม และให้น.ส.นันทนาไปหาหมอ เพราะเป็นห่วงว่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ขณะที่น.ส.นันทนาเมื่อออกมาให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าว ก็มักจะเหน็บแนมนายพิสิษฐ์ เป็นประจำ
อย่างไรก็ดี ปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีมติงดตั้งฉายา "ประธานสภาผู้แทนราษฎร" "ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร" และ "ดาวเด่น" เนื่องจากอยู่ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง จึงกังวลว่าหากตั้งฉายาไปแล้ว อาจถูกนำไปโจมตีกันได้ หรือเสี่ยงต่อกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเป็นการให้คุณให้โทษกับผู้ถูกพูดถึง หากบุคคลนั้นลงสมัครรับเลือกตั้ง