"มีความจำเป็นที่สังคมไทยต้องทำความรู้จักบริษัทแห่งนี้ ซึ่งการนำเสนอข้อมูลของผู้แทน KFEM ในครั้งนี้ ทำให้สื่อมวลชนไทย ได้นำเสนอข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งที่ไม่เคยปรากฎให้สังคมไทยทราบมาก่อน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการตรวจสอบและสร้างความโปร่งใสต่อโครงการฯ และเป็นช่องทางในการสร้างบรรยากาศของประชาธิปไตยอย่างมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง" แถลงการณ์ฯ ระบุ
บทเรียนจากโครงการพัฒนา 4 แม่น้ำสายหลัก และคลองกังยิน(Gyungin Cannel) ในประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นผลงานของบริษัทฯ ทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศมหาศาล อีกทั้งโครงการที่ยังไม่ได้ให้ประโยชน์ตามที่อ้างไว้ ทำให้สังคมไทยได้รับข้อมูลอีกด้านหนึ่งของโครงการในนามการพัฒนา
นับตั้งแต่รัฐบาลไทยประกาศนโยบายบริหารจัดการน้ำ และเดินหน้าในแผนงานต่างๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้ชุนชนท้องถิ่นที่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือภาคประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมเลย ทำให้พวกเรารู้สึกกังวลใจต่อโครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยเขื่อนหลายสิบแห่ง พื้นที่แก้มลิงนับล้านไร่ และฟลัดเวย์ระบายน้ำพาดผ่านพื้นที่ 7 จังหวัด เป็นระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ มีพื้นที่โครงการครอบคลุมหลายสิบจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง และตะวันตก การดำเนินการที่ผ่านมา รัฐบาลมีการรวบรัดขั้นตอนการจัดทำโครงการ ที่สำคัญคือแทบไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนให้ประชาชนได้รับทราบเลย
อย่างไรก็ตาม คำพพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ให้รัฐบาลดำเนินการรับฟังความเห็นจากประชาชน และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนดำเนินการถือเป็นข่าวดีที่ทำให้พวกเรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าจะทำให้การดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำนี้มีความโปร่งใส รับผิดชอบ มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สูงขึ้น ยึดตามหลักการของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย และสร้างกระบวนประชาธิปไตยมากให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
สำหรับเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำต่างๆ ในประเทศไทย ประกอบด้วย มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ(ประเทศไทย), เครือข่ายลุ่มน้ำภาคเหนือ, เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา, สถาบันอ้อผหญา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่, สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, เครือข่ายอนุรักษ์คลองชมพู จ.พิษณุโลก, กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบ จ.แพร่, กลุ่มตะกอนยม จ.แพร่ และเครือข่ายลุ่มน้ำขาน จ.เชียงใหม่