เลขานายกฯ ปัดเว้นวีซ่าไทย-มอนเตเนโกร เอื้อ"ทักษิณ"

ข่าวการเมือง Wednesday September 11, 2013 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงผ่านเว็บไซต์ยูทูป กรณีนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนสาธารณรัฐมอนเตเนโกร โดยยืนยันว่าการตัดสินใจเดินทางเยือนมอนเตเนโกรนั้น เพราะมอนเตเนโกรได้เชิญประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อีกทั้งที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนประเทศดังกล่าวเลย ซึ่งมอนเตเนโกรเป็นประเทศใหม่ที่มีศักยภาพสูงทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว และสามารถไปลงทุนทำธุรกิจได้ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมอาหาร ดังนั้นเมื่อประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวรวมถึงด้านอุตสาหกรรมอาหารก็ถือว่ามีลู่ทางในการลงทุน

ส่วนที่เป็นประเด็นว่าห้ามผู้สื่อข่าวและคณะบางส่วนติดตามในภารกิจที่มอนเตเนโกรนั้น นายสุรนันทน์ ชี้แจงว่า การเดินทางเยือนมอนเตเนโกรครั้งนี้ เนื่องจากเครื่องบินของการบินไทยซึ่งเป็นลำใหญ่ไม่สามารถลงที่มอนเตเนโกรได้ เพราะสนามบินมีขนาดเล็ก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องลดจำนวนผู้โดยสารลง ซึ่งมีทั้งตัวแทนภาครัฐ เอกชน แต่ยืนยันว่าสื่อที่ร่วมเดินทางติดตามภารกิจของนายกฯทั้งหมดจะได้เดินทางไปด้วย เพราะถือเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรก

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังต้องการให้สื่อได้มีโอกาสเดินทางไปดูประเทศใหม่ๆ เพื่อสามารถนำข้อมูลข่าวสาร มาเผยแพร่ต่อสาธารณชนชาวไทย รวมถึงภาคธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ขอรัฐไทยได้ การนำสื่อมวลชนไปด้วยถือเป็นหัวใจสำคัญในการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี

นายสุรนันทน์ ยังกล่าวถึงการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการไทยและมอนเตเนโกรว่า เป็นเรื่องปกติในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปโดยง่ายคือ การยกเว้นวีซ่าของพาสปอร์ตราชการและพาสปอร์ตการทูต ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับพาสปอร์ตบุคคลธรรมดา

สำหรับการยกเว้นพาสปอร์ตการทูตและราชการนั้น เป็นไปเพื่อให้การไปมาหาสู่กันมีความสะดวกมากขึ้น เป็นการสร้างความไว้ใจ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถติดต่อกันได้ง่าย และเป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศที่เราไปแล้วได้ตรวจสอบเรื่องของความมั่นคงในประเทศนั้นๆ แล้วพบว่าไม่มีปัญหา การยกเว้นพาสปอร์ตการทูตและเจ้าหน้าที่รัฐก็เป็นเรื่องปกติ

"ไม่มีกรณีพิเศษของประเทศมอนเตเนโกรอย่างที่มีความพยายามสร้างข่าว หรือคิดจินตนาการต่างๆ ว่าจะทำเพื่อคนนั้นคนนี้ เพราะมันทำไม่ได้ เอกสารข้อตกลงเหล่านี้ เป็นมาตรฐานผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐทั้งหมดแล้ว" นายสุรนันทน์ กล่าว

ส่วนการเดินทางการเยือนสมาพันธรัฐสวิส และสาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ อิตาลีถือเป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะมีความคล้ายกับไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมแฟชั่น อย่างไรก็ตามแม้เรื่องการท่องเที่ยวของอิตาลีจะมีศักยภาพสูง แต่เรื่องของการบริการยังไม่สามารถสู้ไทยได้ ดังนั้นความร่วมมือจึงเกิดขึ้นได้ ขณะที่เรื่องอาหาร ทั้ง 2 ประเทศชื่นชอบอาหารของกันและกันจึงน่าจะมีความร่วมมือกันได้ และที่ผ่านมาไทยพยายามเจาะตลาดสหภาพยุโรป ดังนั้นการที่เรามีความสัมพันธ์กับแต่ละประเทศ จึงสามารถใช้ประเทศนั้นๆ เป็นฐาน

ส่วนอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้นนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากไทยมีวัตถุดิบที่ดี ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม ผ้าฝ้าย แต่ไทยยังมีปัญหาเรื่องการออกแบบสำหรับตลาดในยุโรป ความร่วมมือในส่วนนี้จึงน่าจะเป็นการเจาะตลาดที่ดี

"ไทยมีความพยายามที่จะเจาะตลาดในอิตาลีมาตั้งแต่ที่ตนทำงานร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่าเจาะลำบาก เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้หวงวิชา ดังนั้นการ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถพูดคุยกันนายกฯ และผู้นำอุตสาหกรรมของอิตาลีได้ ก็ถือเป็นการเปิดประตู และเชื่อว่าจะมีผลรับที่ดี ถ้าเกิดเราคุยกันสำเร็จก็จะเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ" เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่ว

นอกจากนี้การเดินทางมากรุงโรม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของโลก การเข้าเฝ้าจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอีกหลายประเทศดีขึ้น เพราะในโลกมีประเทศที่นับถือศาสนาโรมันคาทอลิกจำนวนมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ