ศรส.ยันสั่งอายัดบัญชีท่อน้ำเลี้ยงอย่างเป็นธรรม,เปิดโอกาสให้ชี้แจงก่อน

ข่าวการเมือง Saturday February 15, 2014 15:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีมกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) กล่าวว่า ที่ประชุม ศรส.มีมติให้ทำการตรวจสอบข้อมูลกลุ่มผู้สนันสนุนการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) แล้วเชิญผู้ต้องสงสัยมาชี้แจง หากชี้แจงไม่ได้จึงจะประกาศรายชื่อระงับการทำธุรกรรม
"เป็นการให้ความเป็นธรรมมากกว่าที่เคยปฏิบัติโดย ศอฉ.ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเหตุการณ์ชุมนุมในปี 2553 ที่ออกคำสั่งระงับการทำธุรกรรมก่อนแล้วจึงให้ชี้แจงภายหลัง" นายธาริต กล่าว

ส่วนกรณีศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กับนายเสรี วงษ์มณฑา หนึ่งในแกนนำกลุ่ม กปปส.ที่ถูกดำเนินคดี โดยศาลได้สั่งให้ดีเอสไอระงับการสั่งธนาคารอายัดบัญชีรวม 7 บัญชีนั้น ศรส.ได้รับรายงานว่า ดีเอสไอจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันทีที่ได้รับแจ้งคำสั่ง แต่นายเสรี กับแกนนำ กปปส.ทุกคน รวม 58 คน ก็อาจถูกอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตามที่ ศรส.ได้แต่งตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 5 หน่วยงาน คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร ซึ่งกำลังพิจารณาตรวจสอบและเตรียมสั่งอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตามที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจไว้

"การใช้อำนาจสั่งอายัดบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษที่ศาลสั่งให้ยกเลิก จึงเป็นคนละกรณีกับการจะสั่งอายัดหรือระงับการทำธุรกรรมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ศรส. ทั้งนี้ ศรส.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุนการกระทำผิดที่เรียกว่า ท่อน้ำเลี้ยง" นายธาริต กล่าว

นายธาริต กล่าวว่า กรณีเริ่มปฏิบัติการของ ศรส.ด้วยการใช้กำลังตำรวจเข้าดำเนินการในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้นั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุม หรือการกระชับพื้นที่ หรือการขอคืนพื้นที่ แต่เป็นการปฏิบัติการเข้าตรวจค้น ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับของศาล หรือการเปิดสถานที่ราชการหรือถนนสาธารณะ ซึ่งจะปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยมียุทธวิธีที่เหมาะสมต่างกันไป และเป็นการปฏิบัติการโดยเปิดเผย

ซึ่งการปฏิบัติการเมื่อวานนี้ที่บริเวณถนนข้างทำเนียบรัฐบาล เป็นการเข้าตรวจค้นจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมาย เมื่อเข้าปฏิบัติการแล้วก็ได้ตรวจยึดอาวุธ ยาเสพติด และสิ่งของผิดกฎหมายต่างๆ เช่น อุปกรณ์ใช้ทำวัตถุระเบิด ส่วนผู้กระทำผิดได้หลบหนีไปได้ และเมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้นได้ให้กำลังตำรวจกลับสู่ที่ตั้ง โดยไม่จำเป็นต้องคงกำลังตำรวจไว้ในพื้นที่ เพราะไม่ใช่การขอคืนพื้นที่

สำหรับที่ถนนแจ้งวัฒนะซึ่งได้ฏิบัติการในวันนี้เพื่อเข้าตรวจสอบลาดตระเวน เจรจา และกดดัน เพื่อทำการเปิดสถานที่ศูนย์ราชการ และถนนแจ้งวัฒนะ กลับมาให้บริการประชาชนได้ดังเดิม รวมถึงการเข้าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ คือ พระพุทธอิสระและการ์ดที่คุ้มกันด้วย ซึ่งต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง มิให้เกิดการสูญเสียโดยเฉพาะประชาชนที่ถูกใช้เป็นโล่ห์มนุษย์

"ศรส.ขอยืนยันว่าจะไม่ปล่อยปะละเลยให้แกนนำ กปปส. การ์ดที่คุ้มกัน และผู้เข้าร่วมกระทำความผิดด้วยวิธีการต่างๆ นานา โดยเฉพาะเป็นการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเป็นอันขาด" นายธาริต กล่าว

กรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำ กปปส.ที่ศาลได้ออกหมายจับประเภทหมาย ฉ. ตาม พงร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่จะครบกำหนดควบคุมตัว 7 วัน ในวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปขออนุญาตศาลควบคุมตัวต่ออีก 7 วัน ซึ่งศาลเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวแล้วจึงให้ปล่อยตัวนั้น ศรส.ได้รับแจ้งว่า นายสนธิญาณตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงคือ ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และร่วมกันยุยงส่งเสริมให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่มีเจ้าพนักงาน 3 ฝ่ายร่วมกันสอบสวน คือตำรวจ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ และเมื่อวานนี้ คณะพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยพนักงานอัยการก็ได้เข้าแจ้งข้อหาร้ายแรงดังกล่าวแก่นายสนธิญาณเรียบร้อยแล้ว และในวันนี้ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายขังมีกำหนดครั้งละ 12 วัน รวมแล้วไม่เกิน 84 วัน เป็นการดำเนินการตามกฎหมายปกติ คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยได้ขอศาลคัดค้านการประกันตัว เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และหากปล่อยตัวไปก็เชื่อว่าจะไปกระทำผิดซ้ำอีก

"ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ เป็นขั้นตอนปกติตามกฎหมายซึ่งไม่อาจปฏิบัติเป็นอื่นได้ และไม่มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด" นายธาริต กล่าว

ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวน 159 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 168 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 327 คดี และศาลได้ออกหมายจับ ให้แล้วจำนวน 67 คน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ